โดย Ambar Warrick
Investing.com -- ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงเมื่อวันอังคาร โดยดัชนีนิคเคอิขาดทุนอย่างหนักหลังจากธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นปรับท่าทีอย่างกะทันหันและแสดงท่าทีผ่อนคลายน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้
ดัชนี นิคเคอิ 225 ร่วงลงเกือบ 3% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนหลังจาก BoJ ขยายช่วงของพันธบัตรซึ่งช่วยให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลผันผวนได้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการคาดเดาเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า อัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไป ในญี่ปุ่นจะบีบให้รัฐบาลต้องประเมินมุมมองของ BoJ เกี่ยวกับแรงกดดันด้านราคาอีกครั้ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อาจส่งผลให้ธนาคารกลางต้องปรับเปลี่ยนนโยบายในปัจจุบัน
ในขณะที่ธนาคารกลาง ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ และนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณไว้นั้น แต่ความกลัวว่านโยบายการเงินจะเข้มงวดขึ้นในท้ายที่สุดก็ส่งผลต่อหุ้นในประเทศ ตลาดได้รับผลประโยชน์จากนโยบายผ่อนปรนเป็นพิเศษของ BoJ มาเกือบทศวรรษ
สัญญาณจาก BoJ ทำให้ตลาดเอเชียสั่นคลอนเป็นวงกว้าง โดยระบุว่เพิ่มเติมหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางรายใหญ่หลายแห่งเคลื่อนไหวอย่างดุเดือด เฟด ธนาคารกลางยุโรป และ ธนาคารกลางอังกฤษ ต่างก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีกเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
สัญญาณดังกล่าวกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในปี 2023 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ความเชื่อมั่นที่เสียหายอย่างมากต่อตลาดเอเชีย ทำให้พวกเขาร่วงต่อกันสามวัน
ดัชนี CSI 300 และ เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ของจีนร่วงลง 2% และ 1.4% ตามลำดับ หลังจากที่ธนาคารกลางจีน ยังคงระดับอัตราดอกเบี้ยไว้ต่ำ เป็นประวัติการณ์ ทำให้หุ้นในประเทศก็ถูกเทขายเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ติดเชื้อโควิด19 ในประเทศพุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่คาดไม่ถึง
ตลาดหุ้นที่มีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในเอเชียยังบันทึกการขาดทุนที่สูงชันจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดัชนี ฮั่งเส็ง ของฮ่องกงและดัชนี Taiwan Weighted ร่วงลงอย่างละ 1.9% ในขณะที่ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ลดลง 0.8%
ดัชนี BSE Sensex 30 และ Nifty 50 ของอินเดียก็ร่วงลง 1% เช่นกัน เนื่องจากการขาดทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ตลาดเอเชียส่วนใหญ่มีการซื้อขายที่ต่ำลงมากในปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ทำให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงลดลง ความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะมาถึงได้ทำลายความหวังอย่างมากสำหรับการแรลลี่ในช่วงสิ้นปี