ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดวันศุกร์ที่แล้วด้วยการปรับตัวลดลง ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ก็ยังคงทำสถิติปิดสัปดาห์ด้วยการทำขาลงต่อเนื่องจากความผิดหวังของนักลงทุนที่มีต่อตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่งเท่านั้น
สัปดาห์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2021 อย่างเป็นทางการ เช่นเคย ตลาดหุ้นจะเริ่มต้นด้วยการรายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารก่อน ซึ่งจะมีรายงานผลกำไรจากธนาคารชื่อดังมากมายยกตัวอย่างเช่น JPMorgan Chase (NYSE:JPM), Bank of America (NYSE:BAC), Citigroup (NYSE:C), Wells Fargo (NYSE:WFC), Goldman Sachs (NYSE:GS), Morgan Stanley (NYSE:MS) และ Delta Air Lines (NYSE:DAL)
ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ สัปดาห์นี้จะมีการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เป็นตัวบ่งบอกภาวะเงินเฟ้อ และรายงานตัวเลขยอดค้าปลีก อย่างไรก็ตาม หุ้นที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ ไม่ใช่หุ้นที่อยู่ในกลุ่มจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ แต่มีความน่าสนใจที่นักลงทุนควรจับตา
หุ้นน่าถือ: Tesla
หุ้นของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (NASDAQ:TSLA) มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวขึ้นได้ในสัปดาห์นี้ ขานรับข่าวดีที่อีลอน มัสก์ CEO ของบริษัทออกมาประกาศว่าโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เบอร์ลิน เยอรมันกำลังจะสร้างเสร็จอย่างสมบูรณ์ภายในสัปดาห์นี้
อีลอน มัสก์ให้สัมภาษณ์กับสาธารณะชนว่าภายในช่วงสามเดือนสุดท้ายของเดือน โรงงานใหม่แห่งนี้จะสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและส่งมอบให้กับลูกค้าได้ประมาณ 9,000 คน ส่วนตัวแล้วเขาหวังว่าจะสามารถสร้างตัวเลข 10,000 คนได้ ในอนาคตอีลอน มัสก์ยังวางแผนจะให้โรงงานแห่งนี้เป็นผู้ผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าของบริษัทอีกด้วย อย่างไรก็ตามการที่จะสร้างรถบรรทุกไฟฟ้าให้ได้ตามตัวเลขเป้าหมายในแต่ละปีนั้นยังเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ทวีตว่าบริษัทจะเริ่มปล่อยเบต้าซอฟต์แวร์ 10.2 ของระบบการขับขี่รถยนต์ด้วยตัวเองภายเมื่อวาน และวันนี้ หลังจากที่เลื่อนวันปล่อยให้อัปเดตซอฟต์แวร์มาจากสัปดาห์ที่แล้ว ปัจจุบันหุ้นเทสลามีราคาปิดอยู่ที่ $785.49 และมีมูลค่าตามราคาตลาดล่าสุดอยู่ที่ $777,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถึงแม้ว่าในปีนี้หุ้นเทสลาจะสามารถปรับตัวขึ้นมาได้เพียง 11% เมื่อเทียบกับขาขึ้นมากกว่า 740% ในปีที่แล้ว แต่มูลค่าของบริษัทเทสลาในปัจจุบันสูงกว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังอื่นๆ อย่างเช่น Toyota (NYSE:TM), Daimler (OTC:DDAIF), General Motors (NYSE:GM), Honda (NYSE:HMC) และ Ford (NYSE:F)
บริษัทเทสลามีคิวจะรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันพุธที่ 20 ตุลาคม หลังจากตลาดปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้น 52% คิดเป็นตัวเลข $13,300 ล้านเหรียญสหรัฐ YoY ในขณะที่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นคาดว่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ $1.44
หุ้นน่าทิ้ง: Robinhood Markets
หุ้นของบริษัทแพลตฟอร์มตัวกลางการซื้อขายหุ้นในสหรัฐฯ โรบินฮู้ด (NASDAQ:HOOD) คาดว่าจะยังต้องเผชิญกับแรงกดดันต่อไปเนื่องจากมีปัญหาเชิงลบมากมายเข้ามารุมเร้า ข่าวร้ายล่าสุดพึ่งถูกประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์จากคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) ว่า SEC อาจเข้ามาดูแลการทำธุรกรรมระหว่างโบรกเกอร์และบริษัทที่นำราคาให้โบรกเกอร์เหล่านี้จากตลาดหุ้น หรือที่ SEC เรียกสิ่งนี้สั้นๆ ว่า PFOF หากเป็นเช่นนั้นจริง จะกระทบต่อธุรกิจของโรบินฮู้ดโดยตรง
ในทางปฏิบัติแล้ว สิ่งที่ SEC ต้องการจะเข้ามาตรวจสอบคือขั้นตอนที่บริษัทได้รับเงินชดเชยจากการส่งคำสั่งซื้อขายตรงไปยังตลาดเพื่อทำการเปิดออเดอร์ให้กับลูกค้า ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นกำไรส่วนหนึ่งของโรบินฮู้ดด้วย ในความเห็นของบริษัท พวกเขามองว่าที่ SEC ต้องการจะเข้ามายุ่งย่ามกับเรื่องนี้เป็นเพราะเรื่องของสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 41% ของกำไรในไตรมาสที่สองของโรบินฮู้ดนั้นมาจากตลาดคริปโตเคอเรนซี่
หุ้นของโรบินฮู้ดมีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $41.78 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $84.12 มากกว่า 50% ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ $35,900 ล้านเหรียญสหรัฐ โรบินฮู้ดมีนัดหมายจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันที่ 17 พฤศจิกายนหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าโรบินฮู้ดจะสามารถทำกำไรในไตรมาสที่สามได้ $423 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.63 ลดลงจากตัวเลขกำไร $565 ล้านเหรียญสหรัฐ และ $0.63 ในไตรมาสที่สอง