🐦 Early bird ค้นพบหุ้นที่มาแรงที่สุดตอนนี้ด้วยราคาเบา ๆ รับส่วนลดสูงถึง 55% สำหรับ InvestingPro กับโปรโมชัน Black Fridayรับส่วนลด

สรุปภาพรวมตลาดลงทุนในเดือนพฤศจิกายนปี 2020

เผยแพร่ 02/12/2563 18:09
US500
-
DJI
-
US2000
-
BA
-
GM
-
CVX
-
MSFT
-
AA
-
F
-
GOOGL
-
JBLU
-
AAPL
-
AMZN
-
COST
-
XOM
-
PFE
-
HMC
-
APA
-
TGT
-
X
-
TM
-
DX
-
LCO
-
CL
-
UAL
-
NFLX
-
TSLA
-
IXIC
-
DJT
-
US10YT=X
-
META
-
NYA
-
AZN
-
AAL
-
GOOG
-
HRCc1
-
MRNA
-
BNTX
-
DKNG
-
WMG
-
ACI
-
SNOW
-
PLTR
-

ถือเป็นอีกหนึ่งเดือนที่สวยงามสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะปรับตัวลดลงในวันสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน แต่ตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมานักลงทุนก็ได้กลับเข้าไปลงทุนในตลาดอย่างหนักบนความเชื่อและความหวังว่าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่ใกล้จะออกมาแล้วจะสามารถนำพาโลกกลับคืนสู่สภาวะปกติได้ ส่วนหนึ่งของขาขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดือนที่แล้ว ต้องยกให้เป็นผลงานของหุ้นบริษัผู้ผลิตเครื่องบินเก่าแก่อย่างโบอิ้ง (NYSE:BA) ที่สามารถกลับขึ้นมาได้จากข่าวดีที่เครื่องบินรุ่น 737 MAX ถูกปลดแบนจากหน่วยงานกำกับดูแลการบินของสหรัฐฯ

ดัชนีดาวโจนส์มีราคาปิดเหนือ 30,000 จุดได้ในวันที่ 24 พฤศจิกายนได้เป็นครั้งแรก และกลายเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ หลังจากนั้น 3 วัน กราฟดาวโจนส์ก็ปรับตัวลดลง 1.4% แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจแต่อย่างใดเพราะเมื่อพิจารณาภาพรวมตลอดทั้งเดือนแล้วพบว่าดัชนีดาวโจนส์ขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 11.84% กลายเป็นขาขึ้นของดาวโจนส์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 1987 ที่เคยขึ้นมาได้ทั้งสิ้น 13.8%S&P 500 Monthly 2010-2020

ในช่วงเวลาเดียวกันดัชนี S&P 500 ก็ปรับตัวขึ้นมา 10.6% ทำสถิติกลายเป็นเดือนที่ทำกำไรได้ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน สุดท้ายดัชนีที่ใช้วัดมูลค่าของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่าง NASDAQสามารถวิ่งขึ้นมาได้ 11.6% ได้ตำแหน่งขาขึ้นที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2020 และเดือนพฤศจิกายนปี 1999

สำหรับการย่อตัวลงมาของตลาดหุ้นในวันจันทร์ นอกเหนือจากเรื่องของการปิดคำสั่งซื้อขายเพื่อทำกำไรบางส่วนของนักลงทุนแล้ว ตลาดยังถูกกดดันจากปัจจัยระยะสั้นดังนี้

- แม้จะมีข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิด-19 แต่ขั้นตอนการขนส่งและการแจกจ่ายยังเป็นอุปสรรคสำคัญ
- ภาพรวมตลาดน้ำมันดิบยังคงเปราะบาง ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ย่อตัวลงเกือบ 1% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $48.88 ต่อบาร์เรลหลังจากที่ก่อนหน้านี้ขึ้นมา 26%
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังไม่ได้ยอมรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมาและยังคอยสกัดการทำงานของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่โจ ไบเดนอยู่
- ความเสี่ยงของพรรคการเมืองที่จะได้ครองสภาสูงยังคงมีอยู่ซึ่งจะต้องรอดูการเลือกตั้งพิเศษในรัฐจอร์เจียวันที่ 5 มกราคมปี 2021

เรื่องที่ดูเหมือนว่าจะคงอยู่ถาวรกับนักลงทุนไปอีกนานคืออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ประธานเฟดยังคงออกมาย้ำทุกรอบที่มีโอกาสว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในเร็ววันนี้ ความแน่นอนนี้ทำให้กราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวลดลงตลอดทั้งเดือน 1.9% และคิดเป็นขาลงตลอดทั้งปีรวมแล้วทั้งสิ้น 56% อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับการทำ IPO การซื้อหรือต่อเติมบ้าน การทำสตาร์ทอัพ และลงทุนในตลาดหุ้น ในภาพรวมเราจึงมองว่าในเดือนธันวาคมนี้ตลาดหุ้นจะพยายามรักษาเสถียรภาพของตนเองไว้แล้วไปรอเริ่มนับหนึ่งใหม่ในเดือนมกราคมปี 2021

มีปัจจัยอะไรบ้างที่กระทบขาขึ้นในเดือนพฤศจิกายน

ขาขึ้นของตลาดหุ้นในเดือนพฤศจิกายนมีปัจจัยหลักๆ มาจากความคืบหน้าของวัคซีนต้านโควิด-19 ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่หนุนให้ดัชนีหลักทั้งสี่อย่าง ดาวโจนส์ S&P 500, NASDAQ, Russell 2000 และดาวโจนส์ที่วัดค่าเฉลี่ยของการคมนาคมทะยานขึ้นมานับตั้งแต่วันที่มีข่าวดีจากไฟเซอร์มาจนถึงวันขอบคุณพระเจ้า

สำหรับข่าวดีวัคซีนนั้น เราก็ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของทั้งสี่บริษัทไบโอชีวภาพอย่างไฟเซอร์ (NYSE:PFE) ไบโอเอ็นเทค (NASDAQ:BNTX) โมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) แอซตราเซเนกา (NASDAQ:AZN) และมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดที่ให้ทุนสนับสนุน

ความสำเร็จในการผลิตวัคซีนที่แม้จะยังไม่ได้รับการยืนยันจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ทำให้หุ้นของบริษัทโมเดิร์นนา และไบโอเอ็นเทคปรับตัวขึ้น 126% และ 45.5% ตามลำดับ นอกจากนี้ข่าวดีดังกล่าวยังช่วยทำให้หุ้นของบริษัทสายการบิน โรงแรม ร้านอาหารกลับมาเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนด้วย

BA Weekly TTM

ดัชนีดาวโจนส์ได้แรงหนุนพิเศษมาจากขาขึ้นของหุ้นโบอิ้งตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนหุ้นโบอิ้งปรับตัวขึ้นเกือบ 45% แต่หากเทียบเป็นผลงานตลอดทั้งปีแล้วพบว่ายังอยู่ในขาลงอยู่ 35% และลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 อยู่ 53%

Tesla ดัชนี S&P 500 และ NASDAQ 100

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีคือผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาตลอดทั้งปี ผู้ที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของตารางต่างก็เป็นบริษัทที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วเช่นแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) แอมะซอน (NASDAQ:AMZN) กูเกิลของบริษัทแม่อัลฟาเบต (NASDAQ:GOOGL) และเทสลา (TSLA)  บรรดายักษ์ใหญ่เหล่านี้ช่วยให้ดัชนี NASDAQ 100 ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้น 11% แม้ว่าจะยังไม่อาจขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนได้

TSLA Weekly TTM

หุ้นที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในเดือนนี้ก็ยังคงตกเป็นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาด้วยผลงานขาขึ้นตลอดทั้งเดือน 46% มีราคาเปิดเมื่อวันจันทร์เหนือ $600 และพร้อมทะยานขึ้นทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $607.80 แต่โชคไม่ดีที่วันนี้หุ้นเทสลากลับปรับตัวลดลงมา 3.1% มีราคาปิดอยู่ที่ $567.60 อย่างไรก็ตาม เมื่อดูผลงานขาขึ้นตลอดทั้งปีของหุ้นเทสลาพบว่าจากเดือนมกราคมปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นของบริษัทเทสลาขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 578% มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $538,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างฟอร์ด (NYSE:F) เจเนอรัล มอเตอร์ (NYSE:GM) ฮอนด้า (NYSE:HMC) และโตโยต้า (NYSE:TM) รวมกัน 60%

ในเดือนธันวาคมนี้เชื่อว่าหุ้นเทสลาจะยังคงเป็นสีสันให้กับตลาดหุ้นต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทของอีลอน มัสก์ได้ถูกเชิญขึ้นไปอยู่บนดัชนี S&P 500 อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธันวาคม ก่อนหน้าที่จะถึงวันเวลาแห่งความยินดีนี้ (อย่างน้อย 2 วัน) เป็นไปได้มากที่จะเกิดการผันผวนของหุ้นเทสลาขึ้น

นอกจากหุ้นชื่อดังยังมีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจอีกหรือไม่

หลังจากที่มีข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิดออกมา นักลงทุนก็มีความเชื่อมั่น และกลับเข้ามารับความเสี่ยงในตลาดหุ้นมากขึ้น นักลงทุนบางกลุ่มที่ถือหุ้นเทคโนโลยีของบริษัทชื่อดังอย่างแอปเปิล ไมโครซอฟต์ เน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) และเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) ก็ได้ตัดสินใจหันไปดูหุ้นรายย่อยตัวอื่นเช่นคอสท์โค (NASDAQ:COST) และทาร์เก็ต (NYSE:TGT) ทำให้หุ้นทั้งสองมีราคาปรับตัวขึ้น 9% และ 17% ตามลำดับในเดือนพฤศจิกายน

นอกจากนี้ก็มีความเคลื่อนไหวของขาขึ้นในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ตลอดเดือนพฤศจิกายนเช่นการบิน แร่โลหะและพลังงาน ยกตัวอย่างเช่นหุ้น US Steel (NYSE:X) ปรับตัวขึ้น 47% Alcoa (NYSE:AA) ปรับขึ้น 54% สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (NASDAQ:UAL) ปรับขึ้น 33% อเมริกันแอร์ไลน์ (NASDAQ:AAL) ปรับขึ้น 25.2% เจ็ตบลู แอร์เวย์ (NASDAQ:JBLU) ปรับตัวลดลง 4% จากกรายงานผลประกอบการที่เตือนว่ากำไรในไตรมาสที่สี่ของบริษัทอาจหายไป 70% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว

หุ้นของบริษัทในกลุ่มพลังงานนอกจากจะขึ้นเพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มกลับมา ยังปรับขึ้นเพราะราคาน้ำมับดิบที่ขึ้นมา 27% ตามความเชื่อมั่นเดียวกันในตลาดลงทุน หุ้นของบริษัทเชฟรอน (NYSE:CVX) เพิ่มขึ้น 25.4% เอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) เพิ่มขึ้น 17% และบริษัทผู้ผลิตน้ำมันอาปาเช่ (NASDAQ:APA) เพิ่มขึ้น 55%

ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบคือภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เคยลดลงไปต่ำ $20 ต่อบาร์เรลในขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ลดลงไปแตะ $15.98 การระบาดของเชื้อไวรัสโควิดที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย การขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ ก็กลับมาเมื่อมีรายงานจากเบเกอร์ ฮิวจ์ว่ามีการเปิดใช้งานแท่นขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้น 40% จากตัวเลขต่ำสุด 172 แท่นในช่วงกลางเดือนสิงหาคม

ความเคลื่อนไหวในตลาด IPO

ในโลกของการลงทุน ตัวเลขของการเสนอขายหุ้นให้กับคนทั่วไปหรือที่ในวงการเรียกกันสั้นๆ ว่า IPO ก็สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้สถานะภาพในตลาดได้เช่นกัน ยิ่งมี IPO ในตลาดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งเสริมให้ตลาดหุ้นในภาพรวมมีความร้อนแรงมากขึ้น ข้อมูลจากเรนาซองซ์ แคปปิตัลระบุว่าในปีนี้มีบริษัทสหรัฐฯ ยื่นทำ IPO มากถึง 193 บริษัทซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มากที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่ปี 2014SNOW 300 Minute, November Chart

IPO ที่พึ่งยื่นเข้ามาในปีนี้และเคยเป็นที่รู้จักหรือสร้างกระแสในปีนี้ได้อย่างมากได้แก่ Snowflake (NYSE:SNOW) ที่ยื่นทำ IPO เมื่อเดือนกันยายน มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $325.84 ปรับตัวขึ้น 171% หลังจากได้รับอนุมัติให้เสนอซื้อขายหุ้นให้กับบุคคลทั่วไปได้ไม่นาน นอกจากนี้ก็มีบริษัทวอร์เนอร์ มิวสิค  (NASDAQ:WMG)ที่ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้นมา 18.9% บริษัทอัลเบิร์ตสัน  (NYSE:ACI) บริษัทพาเลนเทียร์  (NYSE:PLTR) ที่เข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก และมีราคาซื้อขายล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 27.11

นอกจากนี้ก็มี IPO ของบริษัท Special Purpose Acquisition Companies (SPACs) และบริษัทผู้พัฒนาเกมออนไลน์ DraftKings (NASDAQ:DKNG) ที่ถือเป็น IPO มาแรงของเดือนพฤศจิกายน ตอนนี้ IPO ของบริษัท Airbnb กำลังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนมากเพราะบริษัทจะเข้าสู่ตลาดหุ้นภายในช่วงกลางเดือนธันวาคม นักวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทอาจมีมูลค่าอยู่ที่ $30,000 เหรียญสหรัฐ

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 นักลงทุนก็หันมาให้ความสนใจกับหุ้นของโรงพยาบาล การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์มากขึ้น บริษัทโมเดิร์นนาเองก็มีแผนที่จะทำ IPO ด้วยเช่นกันเพื่อหวังว่าจะได้รับเงินทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยมากขึ้น อย่างไรก็ตามความสำเร็จและการจะได้เงินทุนของโมเดิร์นนาในตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ผลิตออกมาจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

แม้ตลาดหุ้นจะมีภาพรวมที่ดีแต่ก็ต้องจับตาดูสถานการณ์ของดอลลาร์สหรัฐ

โดยปกติแล้วช่วงสามเดือนระหว่างพฤศจิกายน ธันวาคมและมกราคมถือเป็นสามเดือนที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาโดยตลอดและปีนี้ก็ควรจะเป็นปีพิเศษเพราะได้ปัจจัยเชิงบวกอย่างผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ามาเสริม ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำแต่ก็ยังได้ข่าวดีเรื่องวัคซีนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเข้ามาเสริมมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องไม่ลืมว่ายังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจแย่ลง และระยะเวลากว่าจะแจกจ่ายวัคซีนได้อย่างทั่วถึงเป็นอุปสรรคคอยคานขาขึ้นในตลาดหุ้นอยู่ ที่สำคัญที่สุด ยิ่งเข้าใกล้ช่วงสิ้นปีมากเท่าไหร่ นักลงทุนต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเป็นหลายเท่า เพราะมีโอกาสที่หุ้นของบริษัทใหญ่ๆ อย่างแอปเปิล เทสลา กูเกิล จะชะลอความร้อนแรงลงเนื่องจากการปิดคำสั่งซื้อขายเพื่อทำกำไรก่อนวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่จะมาถึง

สถานการณ์ของดัชนีดอลลาร์สหรัฐก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน ในเดือนที่ผ่านมาดอลลาร์ปรับตัวลดลง 2.3% และตลอดทั้งปีปรับตัวลดลง 4.4% ตั้งแต่มีมาตรการกระตุ้นเศราฐกิจออกมา ความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐก็หายไปและดัชนีดอลลาร์ก็ไม่เคยกลับขึ้นไปหา 100 ได้อีกเลย 

ความเสี่ยงนอกเหนือจากนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องของการบริหารงานของโจ ไบเดนในอนาคตที่ตอนนี้ยังต้องจับตาดูว่าพรรคเดโมแครตจะได้ครองสภาสูงด้วยหรือไม่ เรื่องนี้จะส่งผลถึงความยากง่ายในการออกมาตรการกระตุ้นเศราฐกิจหลังจากนี้ เพราะภายใต้การบริหารของเขา สิ่งแรกที่ต้องจัดการเลยการพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯ และภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร การท่องเที่ยว ให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ หากไม่แล้วธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็จะถูกบีบให้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอัดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ถึงตอนนั้นดอลลาร์จะยิ่งอ่อนค่ากว่าที่เห็นในปัจจุบัน

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย