InfoQuest - นักวิเคราะห์จากบริษัทไพน์บริดจ์ อินเวสต์เมนท์ (Pinebridge Investments) คาดการณ์ว่า ภาวะการซื้อขายของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นไปอย่างคึกคักในปี 2567 เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุน
"แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเอเชียจะเป็นปัจจัยหนุนการซื้อขายในตลาดหุ้นของภูมิภาคแห่งนี้ในปี 2567 ซึ่งประเทศที่ไม่ควรมองข้ามคือจีนและอินเดีย โดยเราคาดว่าเศรษฐกิจและการลงทุนในจีนจะฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ ขณะที่เศรษฐกิจอินเดียจะมีความแข็งแกร่งในหลายภาคส่วน" นักวิเคราะห์ของไพน์บริดจ์ อินเวสต์เมนท์ เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี
การแสดงความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่า เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มขยายตัว 4.6% ในปี 2566 และมีแนวโน้มที่จะขยายตัว 4.2% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 3% ในปี 2566 และ 2.9% ในปี 2567
นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจแล้ว นักวิเคราะห์คาดว่าตลาดหุ้นเอเชียจะได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียและทั่วโลกปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามแนวทางเฟด โดยล่าสุดธนาคารกลางอิสราเอลนำร่องด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 4.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ (1 ม.ค.) ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี และทำให้อิสราเอลกลายเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ด้านนักวิเคราะห์จากไอจี อินเตอร์เนชันแนล (IG International) คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชียปี 2567 จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติและเศรษฐกิจจะขยายตัวปานกลาง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มพลังงาน, กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มเทคโนโลยีที่คาดว่าจะได้แรงซื้ออย่างคึกคัก
นักวิเคราะห์ของไอจี อินเตอร์เนชันแนลยังคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไต้หวัน เวียดนาม และสิงคโปร์ มีแนวโน้มคึกคักในปี 2567 เนื่องจากประเทศเหล่านี้มุ่งเน้นการลงทุนในด้านการผลิตและสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) พร้อมกับคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในปี 2567 เช่นกัน แม้จะทำผลงานไม่ดีนักในปี 2566 ที่ผ่านมาก็ตาม โดยคาดว่าตลาดหุ้นจีนในปีนี้จะได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลออกมาตรการใหม่ ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ของไอจี อินเตอร์เนชันแนลคาดว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศจะเป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อพิพาทระหว่างจีนและสหรัฐ
นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนจะจับตาผลการเลือกตั้งในหลายประเทศเช่นสหรัฐและไต้หวัน โดยเฉพาะการเลือกตั้งไต้หวันที่นักลงทุนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพื่อประเมินว่าจีนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อผลการเลือกตั้งในไต้หวัน ส่วนการเลือกตั้งในสหรัฐนั้น คาดว่าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและกลับสู่ทำเนียบขาวได้อีกครั้ง ก็อาจจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับนโยบายการค้าของนายทรัมป์