Investing.com -- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนจะจับตารายงานการจ้างงานในวันศุกร์เพื่อรับทราบข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะได้รับฟังคำกล่าวของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ และรับทราบข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจากการคุกคามของภาษีที่เพิ่มขึ้น นี่คือ 5 ปัจจัยที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้
-
รายงานการจ้างงานสหรัฐฯ
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งส่งผลให้หุ้นปรับตัวสูงขึ้นตลอดทั้งปี แม้จะมีข้อกังวลว่าอัตราเงินเฟ้ออาจฟื้นตัวขึ้นหากธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป ส่งผลให้ความคืบหน้าในการควบคุมแรงกดดันด้านราคาที่ดำเนินมา 2 ปีต้องสูญเปล่า
การรายงานการจ้างงานที่พุ่งสูงในเดือนกันยายนซ้ำอีกครั้งอาจส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต และคุกคามที่จะบั่นทอนแรงสนับสนุนสำคัญต่อการพุ่งขึ้นของราคาหุ้น
รายงานการประชุมนโยบายล่าสุดของเฟดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่บรรลุฉันทามติเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 202,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน หลังจากเกิดการหยุดชะงักจากการหยุดงานและพายุเฮอริเคนที่ทำให้รายงานของเดือนตุลาคมอ่อนแอลง
-
การแถลงของพาวเวลล์
ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ มีกำหนดเข้าร่วมการอภิปรายโดยมีผู้ควบคุมการอภิปรายในงาน DealBook Summit ของ New York Times ในวันพุธ และนักลงทุนจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่าใดในการประชุมเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
นอกจากพาวเวลล์แล้ว เจ้าหน้าที่เฟดคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็มีกำหนดที่จะปรากฏตัวในสัปดาห์นี้เช่นกัน ได้แก่ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์และมิเชลล์ โบว์แมน ผู้ว่าการเฟด จอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด นิวยอร์ก อัลเบอร์โต มูซาเล็ม ประธานเฟด เซนต์หลุยส์ แมรี่ เดลีย์ ประธานเฟด ซานฟรานซิสโก เบธ แฮมแม็ก ประธานเฟด คลีฟแลนด์ และออสตัน กูลส์บี ประธานเฟด ชิคาโก
3. กำแพงภาษี
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดเมื่อเขาขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 10% จากสินค้าจากจีนทันทีที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม
คำมั่นสัญญาดังกล่าวทำให้เกิดความกลัวต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้ารายใหญ่ 2 ราย โดยภาคส่วนยานยนต์มีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น เนื่องจากใช้ห่วงโซ่อุปทานที่บูรณาการอย่างสูงในสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เชื่อว่าปักกิ่งอาจใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่เพื่อชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้า และหลายคนกล่าวว่าผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายอาจเป็นการเร่งผลักดันการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน
นักลงทุนคาดการณ์ว่านโยบายที่สนับสนุนธุรกิจของทรัมป์อาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลกำไรขององค์กร อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกลัวว่าภาษีนำเข้าจะกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ ทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดช้าลง และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทั่วโลก
- OECD Outlook
OECD จะเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจฉบับล่าสุดซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์และการคาดการณ์สำหรับเศรษฐกิจโลกในวันพุธ
ในการคาดการณ์เดือนกันยายน ECD สระบุว่าคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.2% ในปีนี้และปีหน้า โดยปรับเพิ่มการคาดการณ์สำหรับปี 2024 จาก 3.1% ก่อนหน้านี้ ในขณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับปี 2025
เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารกลาง OECD จึงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยหลักของเฟดจะผ่อนคลายลงเหลือ 3.5% ภายในสิ้นปี 2025 จาก 4.75%-5% ในปัจจุบัน และธนาคารกลางยุโรปจะปรับลดเหลือ 2.25% จาก 3.5% ในปัจจุบัน
- ราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันปิดตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดลงประมาณ 3% ท่ามกลางความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอุปทานจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ และแนวโน้มอุปทานที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 แม้ว่ากลุ่มโอเปก+ คาดว่าจะขยายเวลาการลดการผลิตออกไปก็ตาม
กลุ่มโอเปก+ ซึ่งประกอบด้วยองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร รวมถึงรัสเซีย ได้เลื่อนการประชุมนโยบายครั้งต่อไปออกไปเป็นวันที่ 5 ธันวาคม โดยคาดว่ากลุ่มโอเปก+ จะตัดสินใจขยายเวลาการลดการผลิตออกไปอีกในการประชุมครั้งนี้
เมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มโอเปกได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2024 และ 2025 ท่ามกลางความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุด รวมถึงในอินเดียและภูมิภาคอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) คาดว่าอุปทานน้ำมันโลกจะเกินอุปสงค์ในปี 2025 แม้ว่ากลุ่มโอเปก+ จะยังคงลดการผลิตอยู่ก็ตาม