Cyber Monday Deal: ลดสูงสุด 60% InvestingProรับส่วนลด

3 เรื่องที่นักลงทุนไทยควรรู้สำหรับวันนี้ ( 30 ก.ค.)

เผยแพร่ 30/07/2563 14:35
© Reuters.
GM
-
IXIC
-
SSEC
-

โดย Detchana.k

Investing.com - ศูนย์วิจัยกรุงศรีชี้ผลกระทบการโควิด-19 ทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศหดตัวถึง 32.8% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยผู้บริโภคตัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของดควิด-19 ทำให้การจัดงานมหกรรมแสดงรถยนต์ต้องถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง ทำให้ผู้ผลิตเสียโอกาสทางการตลาด อย่างไรก็ตามคาดว่าการผลิตและจำหน่ายรถยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2564-2565 จากกำลังซื้อที่ทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
ติดตามรายละเอียด พร้อมประเด็นอื่นๆที่นักลงทุนไทยควรรู้สำหรับวันนี้

1.อุตสาหกรรมรถยนต์ปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวรุนแรง ยอดจำหน่ายในประเทศลดลง 32.8%

ศูนย์วิจัยกรุงศรีชี้ผลจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลก กระทบห่วงโซ่การผลิตรถยนต์สะดุดลง ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศและตลาดส่งออกซบเซารุนแรง โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2563 พบว่าการผลิตรถยนต์หดตัว 40.2% YoY อยู่ที่ 5.3 แสนคัน โดยเป็นการหดตัวทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ผลจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ฉุดเศรษฐกิจโลกและไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย และเกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิต ประกอบกับปัญหาภัยแล้งในประเทศกดดันอำนาจซื้อของเกษตรกร

ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 2.7 แสนคัน หดตัว 38.2% YoY ผลจากความกังวลการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ขณะที่อำนาจซื้อถูกลดทอนจากการปิดกิจการ ปัญหาภัยแล้งที่กระทบต่อผู้บริโภคในต่างจังหวัด และสถาบันการเงินยังเพิ่มความเข้มงวดด้านการขยายสินเชื่อ นอกจากนี้ การจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง (กำหนดจัดงานเดิมวันที่ 25 มี.ค.-5เม.ย. 2563 ล่าสุดเลื่อนมาจัดงานในวันที่ 15-26 ก.ค.2563) อีกทั้ง ค่ายรถยนต์ต่างเลื่อนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกไป จึงสูญเสียโอกาสทางการตลาดที่จะช่วยกระตุ้นผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ค่ายรถต่างออกแคมเปญผ่านช่องทางออนไลน์ และ General Motors  (NYSE:GM) ยุติการจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ ‘Chevrolet’ ในไทยภายในปี 2563 จึงออกแคมเปญลดราคาเพื่อล้างสต๊อก ซึ่งช่วยพยุงยอดขายรถยนต์ได้บ้าง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งอยู่ที่ 119,216 คัน (-40.7% YoY) รถปิกอัพ 136,833 คัน (-37.2% YoY) และรถเพื่อการพาณิชย์อื่นๆ (รถโดยสาร รถบรรทุก และรถตู้) 14,535 คัน (-22.6% YoY)

อย่างไรก็ตาม การผลิตและจำหน่ายรถยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2564-2565 จากกำลังซื้อ ที่ทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับอุตสาหกรรมยังได้แรงหนุนจาก (1) ความต้องการเปลี่ยนรถใหม่จากโครงการรถคันแรกที่คาดว่ายังคงมีอยู่ (2)ความต่อเนื่องของการลงทุนภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์และโลจิสติกส์ช่วยหนุนความต้องการรถเพื่อการพาณิชย์ (3) ผู้ประกอบการมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เพื่อกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง (ทั้งรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและรถยนต์ไฟฟ้า) และ (4)อานิสงส์จากเขตการค้าเสรีอาเซียนจะช่วยหนุนตลาดส่งออกในภูมิภาค

2.จับตาการเปิดเผยตัวเลข GDP ประจําไตรมาส 2/2563 ของสหรัฐในวันนี้

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐจะหดตัวลง 34.1% ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ที้สหรัฐเริ้มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2490 หรือกว่า 70 ปี ก่อนหน้านี้ เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งทําให้มีการปิดเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อคืนที่ผ่านมา (29 ก.ค.) ที่ประชุม มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00% - 0.25% ตามคาด พร้อมยืนยันว่า จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00% - 0.25% รวมทั้งเฟดพร้อมที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เฟดมีอยู่สนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนกว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ ไวรัส COVID-19 และบรรลุเป้าหมายของเฟดในการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา โดยเฟดจะยังคงถือครองพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตามนโยบายของเฟดที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ วงเงิน 8 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน เพื่อสร้างเสถียรภาพต่อตลาดการเงิน โดยเฟดจะยังคงมาตรการซื้อคืนพันธบัตร ไปจนถึงสิ้น มี.ค. 2564

ตลาดยังคงให้น้ำหนักความ ขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรเดโมแครตเกี่ยวกับรายละเอียดของมาตรการเยียวยา ผลกระทบจาก COVID-19 รอบใหม่วงเงิน 1 ล้านล้านเหรียญ จะกระทบการออกมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยสถานการณ์ล่าสุดพรรคเดโมแครตและทำเนียบขาวที่กำลังเจรจา กันเกี่ยวกับรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งรวมถึงการขยายโครงการ ช่วยเหลือคนว่างงานซึ่งจะหมดอายุสิ้นเดือน ก.ค. 63

ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ - จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำ 2Q63 (ประมาณการเบื้องต้น) ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน มิ.ย. และความเชื่อมั่น ผู้บริโภคเดือน ก.ค. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

3.ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ –จีนเริ่มกลับมามีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง

บล.หยวนต้าแนะจับตาหากสองประเทศนี้เริ่มหยิบยกมาตรการด้านการค้ามาตอบโต้กัน จะเป็นลบต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก สําหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้จํากัด แนะนำให้พักเงินในกองทุนตลาดเงิน เช่น K-CASH ของ บลจ.กสิกรไทย เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ราว 90% และเงินฝากอีก 10% กองทุนจะลงทุนในตราสารที่มีอายุ ไม่เกิน 397 วัน และบริหารจัดการให้ดูเรชั่นของพอร์ตไม่เกิน 92 วันกองทุนมีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีที่ 1.04% (ณ วันที่ 24 ก.ค. 2563)

สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง หยวนต้ายังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนเนื่องจาก
1) การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทำให้คนชั้นกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น 2) การใช้จ่ายของผู้บริโภคยุคใหม่3) การปรับโครงสร้างตลาดทุนให้เป็นสากล โดยได้มีการเปิดรับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้นและ 4) ดัชนี MSCI EM ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน A-share ในการคำนวณดัชนี ปัจจุบันมีสัดส่วนที่ 4.7% และในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มสัดส่วนเป็น 20.3% ซึ่งจะสามารถช่วยให้มี กระแสเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาสู่ ตลาดหุ้นจีน มากขึ้น

กองทุนจีนแนะนำ คือ 1) T-ES-CHINA A ของ บลจ.ธนชาต หรือ TMB- ES-CHINA-A ของ บลจ.ทหารไทย ที่ลงทุนในกองทุนหลัก UBS CHINA A Opportunity ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นจีน A Share เป็นหลัก กองทุนเน้นลงทุนในกลุ่มการเงิน, Consumer และ Healthcare กองทุนมีผลการดำเนินงานโดดเด่น 5 ปีย้อนหลัง +13.4% ต่อปี (ข้อมูลจาก UBS ณ วันที่30 เม.ย. 2563) และ 2) UCHINA ของ บลจ.ยูโอบี ลงทุนในกองทุนหลัก UBS All China Equity เน้นลงทุน ทั้งหุ้น A-share และ H-Share รวมถึง ADRs(หุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในสหรัฐฯ) โดยมีจุดเด่นที่ ความยืดหยุ่นในการเลือกลงทุน โดยกองทุนเน้นลงทุนในกลุ่ม Consumer, การเงินและสื่อสาร

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง หยวนต้าแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ โดยเน้นไปยังกลุ่มของเทคโนโลยี หรือ ดัชนี NASDAQ Composite เมื่อราคาอ่อนตัว

 

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย