โดย Noreen Burke
Investing.com – รายงานการจ้างงานในสหรัฐประจำเดือนกรกฎาคมจะเป็นไฮไลต์ในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนจะจับตาดูปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เฟดปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น ซึ่งรวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของสถาบัน Institute for Supply Management (ISM) พร้อมด้วยข้อมูลเกี่ยวกับยอดสั่งซื้อภาคโรงงานและการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ผลประกอบการบริษัท โดยบริษัทมากกว่าหนึ่งในสี่ของ ดัชนี S&P 500 จะรายงานในสัปดาห์นี้ ส่วนการปราบปรามโดยหน่วยงานกำกับดูแลตลาดของจีนยังคงถือเป็นเรื่องสำคัญ และธนาคารกลางแห่งอังกฤษจะจัดการประชุมนโยบายครั้งล่าสุด ซึ่งน่าจะสะท้อนมุมมองของเฟดว่ายังมีหนทางต่อไปก่อนที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะลดลง ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เพื่อเริ่มต้นสัปดาห์การลงทุน
1. รายงานการจ้างงานประจำเดือนกรกฎาคม
รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ จะให้เบาะแสที่สดใหม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มสำหรับผู้กำหนดนโยบายของเฟด
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่ม 900,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากที่ตัวเลขคาดการณ์ไว้ที่ 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ กล่าวว่าตลาดแรงงานยังคงมีบางส่วนที่จะต้องครอบคลุม ก่อนจะถึงเวลาที่จะเริ่มปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในเดือนมิถุนายน เจ้าหน้าที่ของเฟดเริ่มถกเถียงกันถึงวิธีลดการซื้อพันธบัตร แต่ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่ชัดว่าจะเริ่มถอนมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจเมื่อใด
2. ข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ
นอกเหนือจากรายงานการจ้างงาน ปฏิทินเศรษฐกิจยังมีข้อมูลสำคัญอื่น ๆ รวมถึงข้อมูลภาคการผลิตของ ISM และข้อมูลภาคบริการในวันพุธ โดยคาดว่า PMI ภาคการผลิตจะยังคงแข็งแกร่ง แต่เน้นย้ำถึงปัญหาด้านอุปทานในระบบเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับยอดสั่งซื้อภาคโรงงานถูกกำหนดไว้สำหรับวันอังคาร และรายงานประจำสัปดาห์เกี่ยวกับการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะประกาศในวันพฤหัสบดี จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ต้นปี ท่ามกลางความต้องการแรงงานที่เพิ่มขึ้น
เจ้าหน้าที่เฟดหลายคนมีกำหนดจะกล่าวสุนทรพจน์ในสัปดาห์นี้ เช่น นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดบอสตัน นายริชาร์ด คลาริดา รองประธานเฟด และนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด
3. ผลประกอบการบริษัทต่าง ๆ
นักลงทุนจะได้รับรายงานผลประกอบการชุดใหม่ในสัปดาห์นี้จากบริษัทต่าง ๆ เช่น Eli Lilly (NYSE:LLY), CVS Health (NYSE:CVS) และ General Motors (NYSE :GM).
ความคาดหวังของรายได้ที่แข็งแกร่งในอนาคตเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเพิ่มขึ้นของดัชนี S&P 500 ในปีนี้ จากการวิเคราะห์ของ Credit Suisse (SIX:CSGN) ซึ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงในการประเมินมูลค่าหุ้นกับการเปลี่ยนแปลงในรายได้ที่คาดการณ์
ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันศุกร์ นำโดยหุ้นอเมซอน (NASDAQ:AMZN) ซึ่งร่วงลงหลังจากบริษัทคาดการณ์ถึงยอดขายที่ลดลง แต่ดัชนี S&P 500 ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6
4. การปราบปรามของจีน
การปราบปรามด้านกฎระเบียบของจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้นักลงทุนหวาดกลัวต่อหุ้นจีน เนื่องจากทำให้บริษัทเทคโนโลยีดำเนินงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน
ประเทศจีนได้เข้มงวดการกำกับดูแลการออกหุ้นในต่างประเทศหลังจากที่ได้ทำการสอบสวนบริษัท Didi Global ยักษ์ใหญ่ด้านบริการเรียกรถเมื่อเดือนที่แล้วเพียงไม่กี่วันหลังจากเข้าจดทะเบียนในนิวยอร์ก
หลังจากการเทขายอย่างรุนแรง ทางการได้เคลื่อนไหวเพื่อระงับอารมณ์ของตลาดซึ่งทำให้ราคาหุ้นตกต่ำและเงินหยวนอ่อนค่า
ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะจับตาดูข้อมูล PMI ของจีน ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งอาจเป็นการทดสอบสภาวะตลาด
5. การประชุมของธนาคารกลางแห่งอังกฤษ (BoE)
มีการคาดว่า BoE จะยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามเดิมหลังจากประชุมในวันพฤหัสบดีนี้ แม้ว่าจะมีความไม่เห็นด้วยในหมู่ผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับขนาดของโครงการซื้อพันธบัตรเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่ควรระวังในการประชุม BoE คือแนวโน้มที่จะเพิ่มตัวเลขประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับปีนี้ แต่แนวโน้มการเติบโตยังคงไม่แน่นอนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด
นอกจากนี้ การที่ผู้กำหนดนโยบายสองคนสนับสนุนการยุติโครงการซื้อพันธบัตร ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะประเมินว่า จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาร่วมเกี่ยวข้องในมุมมองดังกล่าวมากขึ้นหรือไม่