โดย Ambar Warrick
Investing.com -- ราคาน้ำมันขยับเล็กน้อยในวันจันทร์ ท่ามกลางแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่ซบเซา โดยจุดสนใจในสัปดาห์นี้อยู่ที่สัญญาณบ่งชี้เพิ่มเติมจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับเส้นทางการดำเนินนโยบายการเงิน
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างมากจากสัปดาห์ก่อน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ร้อนแรงเกินคาดและความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่เฟดบางคนได้เพิ่มความหวาดกลัวต่อการบังคับใช้นโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น
มีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ถูกปรับให้สูงขึ้นจะขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันชะลอตัวลง
น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ทรงตัวที่ 83.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.1% เป็น 76.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเวลา 21:00 น. ET (02:00 GMT) สัญญาทั้งสองร่วง0ลงประมาณ 4% ในสัปดาห์ที่แล้ว
สัปดาห์นี้ตลาดเน้นที่ บันทึก การประชุมเดือนกุมภาพันธ์ของเฟด ที่จะครบกำหนดเปิดเผยในวันพุธ โดยธนาคารกลางยังคงมีการแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายการเงินที่ต้องเข้มงวดต่อไป ซึ่งจะเห็นได้จากรายงานการประชุม
สัปดาห์นี้มีกำหนดการแถลงข่าวของสมาชิกของเฟดจำนวนหนึ่ง พร้อมกับรายงานดัชนี การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดต้องการเพื่อประกอบการตัดสินใจด้านนโยบาย และคาดว่าทั้งสองเหตุการณ์จะให้ความกระจ่างเกี่ยวกับนโยบายการเงินมากขึ้น
ราคาน้ำมันได้รับผลกระทบจากสัญญาณอุปทานส่วนเกินของสหรัฐ หลังจากที่ประเทศนี้บันทึก สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ สูงกว่าที่คาดไว้อย่างมากในช่วงสัปดาห์ก่อน มีประกาศจากวอชิงตันที่ได้ขายน้ำมันดิบ 26 ล้านบาร์เรลจากคลัง SPR
ราคาน้ำมันดิบปีนี้ยังคงผันผวน ท่ามกลางความกลัวที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง
แต่ภาวะขาขึ้นของน้ำมันยังคงรอคอยการฟื้นตัวในจีน เนื่องจากประเทศนี้กลับมาเปิดอีกครั้งจากการปิดเมืองจากโควิด19 เป็นเวลาถึง 3 ปี การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกคาดว่าจะผลักดันให้อุปสงค์น้ำมันดิบทำสถิติสูงสุดในปีนี้ ตามรายงานของ OPEC และ IEA
ธนาคารกลางจีนยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ เนื่องจากรัฐบาลพยายามที่จะพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากขึ้น
อย่างไรก็ตามข้อมูลเศรษฐกิจจากจีนได้ให้ภาพการเติบโตในระดับปานกลางอยู่