กลุ่มพลังงาน: น้ำมันปิโตรเลียมและโรงกลั่น ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยวันที่ 5 - 7 พ.ค. 64 เท่ากับ 66.27 เหรียญ4/ บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.5% wow vณะที่ค่าการกลั่น (อ้างอิงตลาด สิงคโปร์ Bloomberg) เฉลี่ย 3 - 7 พ.ค. 64 ลดลงเป็น 1.18 จาก 1.47 เหรียญ/บาร์เรล ในสัปดาห์ก่อนหน้า
ราคาน้ำมันดิบ Dubai เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.5%wow มาอยู่ที่ 66.27 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ Nyrmex และ Brent เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6%%wow และ 2.2%wow มาอยู่ที่ 65.08, และ 68.36 เหรียญปบาร์เรล ตามลําดับ
ราคาน้ำมันดิบ (+/-)
ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.5%%wow หลังจากยุโรป และสหรัฐฯเริ่มมีมาตรการผ่อนคลายล็อคดาวน์ เนื่องจากสถานการณ์ covID-19 ใน กลุ่มประเทศดังกล่าวเริ่มคลี่คลาย อีกทั้งยังมีรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาค การผลิตสหรัฐฯปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60.5 ในเดือนเม.ย. จาก 59.1 ในเดือนมี.ค. ซึ่งทํา ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯสัปดาห์ล่าสุดลดลง ถึง 8 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.9 ล้านบาร์เรล แต่ อย่างไรก็ตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐฯในเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 2.7 แสนตําแหน่ง ซึ่งยังต่ํากว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านตําแหน่ง และอัตราการ ว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.1 % สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 5.8% นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอินเดีย ยัง เป็นปัจจัยหลักที่กดดันต่อความต้องการใช้น้ำมันโดยรวมในตลาดโลก ทั้งนี้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเหตุท่อส่งน้ำมัน Colonial Pipeline ซึ่งเป็นท่อส่ง น้ำมันเบนซินและดีเซลที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐถูกปิดลง เนื่องจากเหตุโจมตีโดย Ransomware หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งนับเป็รการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดรั้งหนึ่ง ทั้งนี้ท่อขนส่งดังกล่าวมีความยาว 5.5 พันไมล์ สามารถลําเลียงน้ำมันเชื้อเพลิงได้ราว 2.5 ล้านบาร์เรลวัน หรือราว 45% ของน้ำมันที่ใช้ในฝั่งตะวันออกของสหรัฐ โดยขณะนี้ยังไม่ มีรายละเอียดว่าจะกลับมาดําเนินการได้เมื่อใด ส่วนทางซัพพลายเออร์น้ำมันกําลังเร่งหา วิธีการอื่นในการจัดส่งเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งนี้คาดเหตุการณ์ ดังกล่าวจะเป็นประเด็นบวกในช่วงสั้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีความผันผวนขาขึ้นจนกว่า สถานการณ์จะคลี่คลาย
ค่าการกลั่นระยะสั้น (-)
ค่าการกลั่นเฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงมาอยู่ที่ 1.18 จาก 1.47 เหรียญฯ/บาร์เรล หลัง ราคาน้ำมันสําเร็จรูปปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากความต้องการใช้ น้ำมันยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาด COVID-19 ในภูมิภาคเอเชีย โดยราคาน้ำมัน เบนซินและน้ำมันดีเซลต่างเพิ่มขึ้น 3.57 และ 3.38 มาอยู่ที่ 77.95 และ 72.09 เหรียญฯ/ บาร์เรล
คําแนะนําการลงทุน
ฝ่ายวิจัย ASPS กําหนดสมมติฐานราคาน้ํามันดิบอ้างอิงดูไบเฉลี่ยในปี 2564 เท่ากับ 50 เหรียญฯบาร์เรล โดยอยู่ภายใต้หลักความระมัดระวัง และตามปัจจัยพื้นฐานที่ยังมีแรง กดดันจากเศรษฐกิจที่หดตัวตามผลกระทบของ COVID-19 อีกทั้งในภาพระยะยาว คาด การปรับลดกําลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ จะยังคงค่อยๆเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่อย่างไรก็ ตามฝ่ายวิจัยได้ประเมิน sensitivity analysis ผลกระทบต่อการปรับตัวขึ้นของราคา น้ํามันดิบระยะยาวโดยทุกๆ 5 เหรียญ/บาร์เรล พบว่ากระทบ FV ของ PTT (BK:PTT) และ PTTEP จะเพิ่มขึ้นราว 2-3 บาท/หุ้น และ 10-12 บาท/หุ้น ตามลําดับ สําหรับคําแนะนําหุ้นในกลุ่มน้ํามัน ในช่วงสั้นคาดยังได้รับ sentiment เชิงบวกจากกากเหตุ โจมตีท่อส่งน้ํามัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย แต่อย่างไรก็ตามการประกาศทยอย ปรับขึ้นกําลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ถือเป็นการจํากัด Upside การขึ้นของราคา น้ํามันดิบโลกจากนี้ ซึ่งล่าสุดในเดือน พ.ค.-ก.ค. ได้ปรับเพิ่มกําลังการผลิต 3.5 แสน บาร์เรล/วัน, 3.5 แสนบาร์เรล/วัน, และ 4.4 แสนบาร์เรล/วันมาอยู่ที่ 6.9 ล้านบาร์เรล/วัน, 6.5 ล้านบาร์เรล/วัน และ 6.2 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลําดับ ส่วนซาอุดีอะระเบียจะทยอยเพิ่ม กําลังการผลิต 2.5 แสนบาร์เรล/วัน , 3.5แสนบาร์เรล/วัน และ 4.0 แสนบาร์เรล/วัน ใน เดือน พ.ค.- ก.ค. ตามลําดับ เช่นกัน แต่ทั้งนี้ เชื่อว่าราคาน้ํามันคงไม่ได้ปรับตัวลงแรง ประกอบกับพื้นฐานแข็งแกร่งทั้ง PTT (Buy: FwgB48.5) และ PTTEP (Buy: FV@B128) จึงให้หาจังหวะทยอยสะสมลงทุน ส่วนกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี เราแนะนําซื้อ PTTGC (Buy: FMgB69) เนื่องจากให้ น้ําหนักไปที่ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ส่วน TOP (Switch: FWaB55) BCP (Switch: FV@B26), และ IRPC (Switch: 3.9) พื้นฐานโดยรวมยังอ่อนแอจากธุรกิจ โรงกลั่นตามค่าการกลั่นที่ยังอยู่ระดับต่ํามาก จึงยังคงแนะนําเพียง trading ช่วงสั้น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities