ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: CQG
- ราคาน้ำมันวิ่งกลับไปยังจุดกึ่งกลาง $40 ต่อบาร์เรล
- ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงก่อนเข้าสู่ช่วงเวลาที่มีคนต้องการมากที่สุด
- การเลือกตั้งในจอร์เจียจะส่งผลต่อจำนวนเก้าอี้ในสภาสหรัฐฯ
- นโยบายเกี่ยวกับพลังงานจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งพิเศษในวันที่ 5 มกราคม 2021
- ข่าวดีวัคซีน และการผลิตในตลาดพลังงานที่ลดลงอาจเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดพลังงานล่วงหน้า
เมื่อฤดูหนาวเดินทางมาถึงโดยปกติแล้วราคาน้ำมันจะลดลงในช่วงระหว่างไตรมาสที่ 4 จนถึงช่วงแรกของไตรมาสที่ 1 ในปีถัดไปซึ่งสวนทางกับความต้องการก๊าซธรรมชาติ สาเหตุที่ความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงเกิดขึ้นจากการเดินทางที่ลดลงเพราะอากาศที่หนาวเหน็บ ในขณะเดียวกันความต้องก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาทำความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงฤดูนี้ของทุกๆ ปี
แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าปี 2020 นี้ถือเป็นปีที่แตกต่างออกไป จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วทุกภาคส่วนทำให้แม้แต่ตลาดพลังงานก็ไม่ได้รับข้อยกเว้น แม้จะมีข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนออกมาแล้วแต่ก็อย่างที่เห็นว่าจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เห็นตัวยาและการใช้งานที่เกิดขึ้นจริง ยอดผู้ติดเชื้อใหม่สะสมยังคงเพิ่มสูงขึ้นทั้งในยุโรป และสหรัฐฯ และโรงพยาบาลใกล้ถึงจุดที่ไม่สามารถรับรองคนไข้ได้อีกต่อไป
อีกเหตุการณ์สำคัญหนึ่งที่พึ่งผ่านพ้นไปในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้จะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่าโจ ไบเดนคือคนที่จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้เต็มกำลังเพราะต้องรอพิธีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2021 สถานการณ์ภายในสภาก็ไม่ได้เอื้อต่อพรรคเดโมแครตของเขาทั้งหมด เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสภาล่างน่าจะตกเป็นของรีพับลิกันแน่แล้ว ตอนนี้เหลือเพียงสภาสูงเท่านั้นที่ยังไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่าฝ่ายไหนจะได้ไปครองซึ่งการเลือกตั้งพิเศษในรัฐจอร์เจียจะเป็นตัวตัดสิน
เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ดังนั้นการขยับตัวแต่ละครั้งของประเทศลุงแซมย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลก นโยบายที่โจ ไบเดนเน้นเป็นอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้คือพลังงานสะอาดที่เขาจะนำร่องเปิดทางนำพลังงานบริสุทธ์นี้เข้ามาทดแทนพลังงานแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยซึ่งก่อให้เกิดมลพิษต่อโลกเป็นอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผลการเลือกตั้ง ผลสรุปว่าใครจะได้ครองสภาสูงหรือสภาล่างจึงสำคัญเพราะจะเป็นตัวกำหนดนโยบายที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานในประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไปนับจากนี้
ราคาน้ำมันวิ่งกลับไปยังจุดกึ่งกลาง $40 ต่อบาร์เรล
นับตั้งแต่ไฟเซอร์ (NYSE:PFE) ออกมาประกาศข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิดเมื่อสองสัปดาห์ก่อน หลังจากนั้นหลายๆ บริษัทเวชภัณฑ์ชื่อดังก็ทยอยออกมาประกาศข่าวดีตามกันติดๆ เช่นโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) แอสตราเซเนกา (NASDAQ:AZN) เป็นต้น
อย่างที่ทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้โควิดเคยทำให้ความต้องการน้ำมันดิบตกต่ำจน WTI สามารถลงไปสร้างจุดต่ำสุดติดลบได้ในขณะที่เบรนท์ลงไปสร้างจุดต่ำสุดในทศวรรษนี้ หลังจากนั้นราคาน้ำมันดิบก็สามารถกลับขึ้นมาได้และทรงตัวได้ในระดับหนึ่งแต่ข่าวดีของวัคซีนนี้ทำให้ราคาน้ำมันสามารถปรับตัวขึ้นไปได้อีก
รูปกราฟรายวันนี้แสดงถึงช่วงเวลาที่ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนธันวาคมร่วงลงจาก $41.90 ลงไปยังจุดต่ำสุด $33.64 ในวันที่ 2 พฤศจิกายน หลังจากที่การเลือกตั้งสหรัฐฯ เริ่มขึ้นและได้ทราบผลพอประมาณแล้วราคาน้ำมันก็สามารถดีดกลับขึ้นมาได้
จากนั้นความสำเร็จของไฟเซอร์ในการผลิตวัคซีนต้านโควิดครั้งแรกที่ให้ผลได้ดีถึง 90% ก็ทำให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดล่าสุดที่ $43.06 บาร์เรลในวันที่ 11 พฤศจิกายน ขาขึ้นจากจุดต่ำสุดในวันที่ 2-11 พฤศจิกายนคิดเป็นขาขึ้นของกราฟซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือนธันวาคมที่ 28% ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กองทุนที่ทำการซื้อขายน้ำมันโดยอ้างอิงจากราคาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง The Energy Select Sector SPDR® Fund (NYSE:XLE) ก็สามารถทำขาขึ้นที่มีนัยสำคัญได้ด้วยเช่นกัน
กราฟของกองทุนน้ำมันลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ $26.98 ในวันที่ 20 ตุลาคมก่อนที่จะกลับขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $36.93 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน นับตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้งมาจนถึงได้ยินข่าวดีจากโมเดิร์นนา ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อ้างอิงจากกองทุนนี้เพิ่มขึ้นมา 36.8% สรุปก็คือราคาน้ำมันดิบ และกองทุนน้ำมันต่างก็วิ่งกลับขึ้นมายังจุดกึ่งกลางของปีก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว
ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงก่อนเข้าสู่ช่วงเวลาที่มีคนต้องการมากที่สุด
ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบสามารถวิ่งกลับขึ้นไปหาจุดกึ่งกลางของปี 2020 ได้ กราฟราคาก๊าซธรรมชาติที่ปกติต้องปรับตัวสูงขึ้นในฤดูหนาวกลับมีรายงานก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในคลังกักเก็บในช่วงระหว่างวันที่ 6-13 พฤศจิกายน ย้อนกลับไปในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 ตอนนั้นราคาก๊าซธรรมชาติเคยสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $2.905 ต่อหนึ่งล้านบีทียู แต่สัปดาห์ที่แล้วราคาก๊าซธรรมชาติกลับลงมาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบสามเดือนได้
จากภาพจะเห็นว่าราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติที่จะส่งมอบในเดือนธันวาคมลงมาสร้างจุดต่ำสุดที่ $2.525 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คิดเป็นการลงมาจากจุดสูงสุดล่าสุด 25.6% ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นในช่วงเวลาที่คนต้องการน้อยที่สุดในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติปรับลงในช่วงเวลาที่คนต้องการมากที่สุด ปี 2020 ช่างเป็นปีที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
การเลือกตั้งในจอร์เจียจะส่งผลต่อจำนวนเก้าอี้ในสภาสหรัฐฯ
เราคงได้ทราบกันไปแล้วว่าหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จบลง พรรคเดโมแครตคือผู้ที่ได้ทำเนียบขาวไป และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ารีพับลิกันจะได้ครองสภาล่าง เพื่อให้การบริหารงานในยุคของโจ ไบเดนไม่ต้องเจออุปสรรคมากนัก การได้สภาสูงมาครองจึงเป็นสิ่งที่เดโมแครตหวังเอาไว้เป็นอย่างยิ่งแต่ยังติดอยู่ที่จำนวนผู้ที่นั่งอยู่ในสภาสูงของทั้งสองฝ่ายมีจำนวนที่ใกล้เคียงกันมากจนไม่สามารถกำหนดเสียงส่วนใหญ่ได้ ดังนั้นการเลือกตั้งใหม่ในรัฐจอร์เจียจึงจะเป็นตัวกำหนดว่าใครจะได้สภาสูงไปครองระหว่างผู้นำเสียงข้างมากคนปัจจุบันจากพรรคลีพับลิกันนายมิตต์ แมคคอนเนลและนายชัคค์ ชูเมอร์
นโยบายเกี่ยวกับพลังงานจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งพิเศษในวันที่ 5 มกราคม 2021
ด้วยความแตกต่างของนโยบายพลังงานที่ต่างกันอย่างสุดขั้วระหว่างพรรครีพับลิกันที่ต้องการเพิ่มความมั่นคงให้กับประเทศผ่านการค้าขายทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ในขณะที่เดโมแครตเน้นไปทางพลังงานสะอาด และการรักษ์โลก จึงไม่ผิดเลยหากจะบอกว่าอนาคตของการใช้พลังงานของโลกจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งพิเศษของรัฐจอร์เจียในวันที่ 5 มกราคมนี้
ลองคิดภาพสถานการณ์ในสภาดูหลังจากที่โจ ไบเดนได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีแต่สภาสูงยังเป็นของรีพับลิกัน นโยบายใดๆ ที่จะออกมาซึ่งเกี่ยวข้องกับการจำกัด การคงหรือลดกำลังการผลิตพลังงานที่จะก่อให้เกิดมลพิษจะต้องถูกสกัด และสร้างความปวดหัวให้กับโจ ไบเดนเทียบกับการที่เดโมแครตได้สภาสูงไปคงจะทำให้โลกนี้มีพลังงานสะอาดที่น่าอยู่มากขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเลือกตั้งในรัฐจอร์เจียจึงสำคัญกับตลาดพลังงานต่อจากนี้ไปอีก 4 ปีเป็นอย่างมาก
หากในปีหน้าโลกเราสามารถคลี่คลายปัญหาโควิด และกลับเข้าสู่สภาพที่ใกล้เคียงกับปกติได้มากที่สุดแล้ว แต่ต้องมาเจอกับนโยบายรักษ์โลก และการลดกำลังการผลิตน้ำมัน และก๊าซธรรมขาติของโจ ไบเดน เราเชื่อว่าภาพดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเพราะโลกเรายังไม่สามารถเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เทคโนโลยีรถไฟฟ้าได้รวดเร็วขนาดนั้น
ข่าวดีวัคซีน และการผลิตในตลาดพลังงานที่ลดลงอาจเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดพลังงานล่วงหน้า
ส่วนตัวแล้วผม (ผู้เขียน) มองว่าราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในตลาดซื้อขายล่วงหน้าจะมีความผันผวนทั้งในช่วงก่อน และหลังการเลือกตั้งพิเศษที่จอร์เจีย เพราะนอกจากเรื่องนโยบายของทั้งสองพรรค ตลาดซื้อขายล่วงหน้ายังมีปัจจัยเสี่ยงมาจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น แต่ความคืบหน้าของวัคซีนโควิดในทุกๆ ครั้งที่ออกมาก็จะช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากข่าวเชิงลบลง หากเป็นไปตามที่ผู้เชียวชาญด้านการแพทย์คาดการณ์ เราจะได้วัคซีนตัวแรกของโลกจริงๆ ภายในเดือนหน้า เมื่อช่วงเวลาของการรักษาโรคจริงได้เริ่มต้นขึ้น การฟื้นฟู และความต้องการพลังงานก็จะตามมา เมื่อนั้นราคาน้ำมัน และกองทุนในช่วงต้นบทความก็จะปรับขึ้นตามด้วย
การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านพลังงานของโจ ไบเดนอาจทำให้อเมริกาเสียตำแหน่งหนึ่งในสามของผู้ที่ทรงอิทธิพลด้านน้ำมันที่สุดของโลกไป กำไรจากการผลิตน้ำมันจะกลับไปอยู่ที่กลุ่มโอเปก และรัสเซียอีกครั้ง ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 5 มกราคม 2021 มีความสำคัญต่อตลาดพลังงานมากเพราะนี่คือการกำหนดอนาคตของตลาดซื้อขายพลังงานล่วงหน้ าและอนาคตของการส่งออกน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา