รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ลงทุนในหุ้นตามพอร์ตของนักลงทุนในตำนานอย่างบัฟเฟตต์ด้วยกองทุน ETF นี้

เผยแพร่ 25/05/2565 13:48
อัพเดท 02/09/2563 13:05

เชื่อว่านักลงทุนทุกคนไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อของนักลงทุนในตำนานคนนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นอกจากจะเป็นนักลงทุนแล้ว เขายังเป็นเจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway (NYSE:BRKa) (NYSE:BRKb) ในทุกๆ ไตรมาส เขาจะออกมาเปิดเผยว่าปัจจุบันกำลังถือครองหุ้นตัวไหนอยู่ ซึ่งก็มักจะได้รับความสนใจจากสื่อและนักลงทุนทั่วโลกเป็นจำนวนมาก

ยิ่งในช่วงที่ระดับเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบสี่สิบปี การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และตลาดหุ้นกำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างหนัก นั่นยิ่งทำให้นักลงทุนยิ่งสนใจว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายอย่างนี้ นักลงทุนในตำนานท่านนี้กำลังถือครองหุ้นตัวไหนอยู่กันแน่ สำหรับสาวกของบัฟเฟตต์ แน่นอนว่าพวกเขาต้องถือหุ้น BRKb เอาไว้ในระยะยาว ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นของเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 4% เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ในช่วงเวลาเดียวกันปรับตัวลดลง 16.6%BRKb Weekly Chart

อ้างอิงข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา มูลค่าพอร์ตลงทุนปัจจุบันของเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์คิดเป็นเงินมากกว่า $363,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก $331,000 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่แล้ว 

“จงกล้าในยามที่คนอื่นกลัว” วลีในตำนานของวอร์เรน ที่ทำให้บางคนก็สามารถมีกำไรในช่วงนี้ และหมดตัวได้ในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าในไตรมาสที่ 1 นั้นบัฟเฟตต์ก็ได้มีการลงทุนไปแล้วบ้าง และหนึ่งในหุ้นที่ได้กำไรจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แน่ๆ คือหุ้นในกลุ่มธนาคาร ซึ่งบัฟเฟตต์ก็เลือกที่จะถือครองหุ้นของธนาคาร Citigroup (NYSE:C)

เปิดพอร์ตพ่อมดแห่งโอมาฮ่า

อ้างอิงข้อมูลจาก InvestingPro ที่ได้เข้าถึงข้อมูลหุ้นในพอร์ตของคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์พบว่ามีหุ้นน่าสนใจในระยะยาวอยู่หลายตัว ถ้าหากพูดถึงหุ้นที่เบิร์กเชียร์ฯ ถือครองมากที่สุด (มากกว่า 60% ของพอร์ตการลงทุน) ก็จะเป็นหุ้นสามตัวที่เรารู้จักกันดีอย่าง Apple (NASDAQ:AAPL), Bank of America (NYSE:BAC) และ American Express Company (NYSE:AXP)

หากเทียบจากบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุด เบิร์กเชียร์จะถือครองหุ้นของ Apple, Amazon (NASDAQ:AMZN), Visa (NYSE:V), Procter & Gamble (NYSE:PG) และ Coca-Cola (NYSE:KO) หุ้นของธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงได้แก่ Snowflake (NYSE:SNOW) Chevron (NYSE:CVX) และ Celanese (NYSE:CE)

กลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และนักลงทุนอาจต้องไปทำการบ้านเพื่อตัดสินใจเอาเองได้แก่ RH (NYSE:RH) General Motors (NYSE:GM) Occidental Petroleum (NYSE:OXY) Charter Communications Technologies (NASDAQ:CHTR) และ HP (NYSE:HPQ)

หุ้นที่มีราคาหุ้นกับ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/B) ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นได้แก่ Citigroup, General Motors, Paramount Global (NASDAQ:PARA) Bank of New York Mellon (NYSE:BK) และ Kraft Heinz (NASDAQ:KHC)

สุดท้าย หุ้นในกลุ่มที่สามารถทำกำไรได้ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่องได้แก่ Store Capital (NYSE:STOR), Citigroup, Kraft Heinz และ US Bancorp (NYSE:USB)

สำหรับคนที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก ไปหาลงทุนหุ้นแต่ละตัวตามที่เราได้แนะนำไป วันนี้เรามีกองทุน ETF ที่ถือครองหุ้นไม่ต่างจากพอร์ตของวอร์เรน บัฟเฟตต์มานำเสนอ

Invesco S&P 500 Top 50 ETF

- ระดับราคาปัจจุบัน: $299.21
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $285.96 - $374.77
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.18%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.20% ต่อปี

กองทุนที่เราจะมานำเสนอในวันนี้มีชื่อว่า Invesco S&P 500 Top 50 ETF (NYSE:XLG) เป็นกองทุนที่ลงทุนให้หุ้นบริษัท 50 แห่งที่มีขนาดใหญ่ (ในเชิงมูลค่า) มากที่สุดบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 XLG เปิดให้เริ่มต้นลงทุนครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมปี 2005 XLG Weekly Chart

หากพิจารณาการถือครองหุ้นออกเป็นสัดส่วน จะพบว่า XLG ถือครองหุ้นในกลุ่มผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีมากที่สุด 37.5% ตามมาด้วยกลุ่มดูแลสุขภาพ 15.4% กลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร 14.5% และสินค้าจำเป็น 12.1% มีสินทรัพย์รวมทั้งหมดประมาณ $2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

หุ้น 10 อันดับแรกคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์รวมทั้งหมด หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Apple Microsoft (NASDAQ:MSFT) Amazon; Alphabet (NASDAQ:GOOGL) Berkshire Hathaway Tesla (NASDAQ:TSLA) และ Johnson & Johnson (NYSE:JNJ)

กองทุน XLG ได้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลในช่วงต้นเดือนมกราคม แต่ก็ต้องปรับตัวลดลงมาตามสถานการณ์ในตลาดหุ้นปัจจุบัน XLG พึ่งลงไปสร้างจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ภายในช่วงระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด XLG ปรับตัวลดลงมาแล้ว 3.3% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 23.25x และ 5.58x ตามลำดับ 

นักลงทุนที่เชื่อว่าอีกไม่นาน บรรดาหุ้นชื่อดังจะสามารถคืนชีพกลับมาได้ สมควรเห็บกองทุนนี้เอาไว้ในการพิจารณา

ความคิดเห็นล่าสุด

😄🙏 ช่วยวิเคราะห์ให้หน่อยครับระดับไหนมาแรงที่สุด
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย