เริ่มต้นขึ้นแล้วกับสัปดาห์รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของหุ้นในวอลล์สตรีทนำโดย 24 บริษัทชั้นนำทั้งหลายในสหรัฐอเมริกาอย่างเช่น เจพีมอร์แกน (NYSE:JPM) ซิตี้กรุ๊ป (NYSE:C) เวลล์ ฟาร์โก (NYSE:WFC) แบงก์ ออฟ อเมริกา (NYSE:BAC) โกลด์แมน แซคส์ (NYSE:GS) และมอร์แกน สแตนลีย์ (NYSE:MS)
ข้อมูลจาก FactSet รายงานว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของบริษัทที่อยู่ในตลาด S&P 500 จะมีตัวเลขลดลง 2.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว หากเรื่องนี้เป็นจริงนี่จะเป็นครั้งแรกเลยที่ผลประกอบการใน 4 ไตรมาสแบบปีต่อปีลดลงนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2015 มาจนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2016
หุ้นใน 6 กลุ่มต่อไปนี้เป็นหุ้นที่คาดว่าจะมีตัวเลขผลประกอบการแบบปีต่อปีลดลงนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มบันเทิงและหุ้นในกลุ่มวัสดุอุปกรณ์ ส่วนหุ้นในกลุ่มการเงินและสาธารณูปโภคเป็นกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น
ตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรที่ได้ยังไม่มีตัวเลขแน่ชัด คาดการณ์เอาไว้ว่าอัตราผลกำไรที่น่าจะได้แบบปีต่อปีในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 2.6% ซึ้งเป็นตัวเลขอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดของดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2016
มี 3 ใน 7 ของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะมีรายงานตัวเลขผลประกอบแบบปีต่อปีลดลงนำโดยหุ้นกลุ่มวัสดุอุปกรณํและพลังงานในขณะที่หุ้นในกลุ่มประกันสุขภาพ สาธารณูปโภคและผู้ให้บริการด้านการสื่อสารจะมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น
2 กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะสร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุน
1. หุ้นกลุ่มพลังงาน: หุ้นที่ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ
หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มที่ถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะให้ผลตอบแทนแบบปีต่อปีต่ำที่สุดจากทั้งหมด 11 กลุ่ม อ่างอิงข้อมูลจาก FactSet ในปีที่แล้วหุ้นกลุ่มนี้มีผลงานการปันผลต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 ลดลงมากถึง 36.8% ยิ่งไปกว่านั้นราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้ นักวิเคราะห์มองว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 แบบปีต่อปีจะเป็นช่วงที่หุ้นกลุ่มนี้ติดลบมากที่สุดถึง -7.2%
หากมองลงไปให้ลึกกว่านี้จะพบว่าผลตอบแทนจากบริษัทย่อยในอุตสาหกรรมนี้คาดว่าจะลดลงมากกว่า 20% โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทในกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธุรรมชาติที่คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะลดลงมากถึง 75% ผลกำไรที่บริษัทเหล่านี้อาจติดลบถึง 46% - 51%
2 บริษัทที่คาดว่าจะมีตัวเลขอัตราการเติบโตของผลกำไรดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มคือบริษัท Exxon Mobile (NYSE:XOM) และ Chevron (NYSE:CVX) ตัวเลขการปันผลต่อหุ้นของบริษัท Exxon ในไตรมาสที่ 4 ปี 2019 คาดว่าจะอยู่ที่ $0.59 ปรับตัวลดลงจาก $1.29 คิดเป็นการลดลง 46% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ในขณะที่บริษัท Chevron คาดว่าจะมีตัวเลขการปันผลต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2019 คาดว่าจะอยู่ที่ $1.55 ปรับตัวลดลงจาก $1.95 คิดเป็นการลดลง 20%
นอกจากนี้ก็จะมีบริษัท Occidental Petroleum (NYSE:OXY) และ ConocoPhillips (NYSE:COP) หุ้น OXY จะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.05 จากปีที่แล้วอยู่ที่ $1.22 ในขณะที่หุ้น COP จะมีตัวเลขอยู่ที่ $0.80 จากตัวเลข $1.13 ในปีที่แล้ว
2.หุ้นในกลุ่มยานยนต์นำมาเป็นอับดับหนึ่ง
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นในกลุ่มยานยนต์ 11 ภาคส่วนจะมีตัวเลขผลกำไรที่ได้แบบปีต่อปีลดลง -13.5% 8 จาก 11 หุ้นที่อยู่ในกลุ่มย่อยนี้จะมีตัวเลขการทำกำไรลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ 4 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้จะมีตัวเลขผลกำไรลดลงในระดับตัวเลขสองหลัก เราอาจจะได้เห็นหุ้นกลุ่มยานยนต์มีตัวเลขลดลงมาถึง 69% จากปีที่แล้ว
2 จาก 3 บริษัทที่คาดว่าจะมีตัวเลขการทำกำไรลดลงเล็กน้อยได้แก่ General Motors (NYSE:GM) และ Ford (NYSE:F) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 หุ้น GM คาดว่าจะมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.21 ลดลงจาก $1.43 ในขณะที่บริษัทฟอร์ดจะมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.17 ลดลงจาก $0.30
หุ้นของบริษัทแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 คาดว่าจะมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $4.05 ลดลงจาก $6.04 อย่างไรก็ตามบริษัทวางแผนที่จะพัฒนาระบบ Amazon Prime ในการจัดส่งฟรีภายในหนึ่งวันให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
หุ้นอีก 2 ตัวที่คาดว่าตัวเลขการปันผลลดลงได้แก่ Gap (NYSE:GPS) และ Hasbro (NASDAQ:HAS) หุ้นของ Gap คาดว่าจะมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.35 ลดลงจาก $0.71 ส่วน Hasbro จะมีตัวเลขอยู่ที่ $0.95 ลดลงจาก $1.33
หุ้นที่อยู่ในกลุ่มคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต:หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค
หุ้นกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดไปเต็มๆ ดังนั้นนักวิเคราะห์จึงมองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีตัวเลขรายงานผลประกอบการแบบปีต่อปีที่ดีขึ้นด้วยการประเมินตัวเลขผลกำไรต่อหุ้นสูงถึง 19.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ 2019
หุ้นใน 5 กลุ่มภาคส่วนต่อไปนี้คือหุ้นที่คาดว่าจะมีการเติบโตของตัวเลขการปันผลต่อหุ้นที่ดีและอาจขึ้นไปถึงตัวเลข 2 หลักได้นั่นก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนและกลุ่มพลังงานไฟฟ้า หุ้นของบริษัทผู้ผลิต (+138%) หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคหลากหลาย (+26%) หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพลังงานไฟฟ้า (+12%) และกลุ่มสาธารณูปโภคจากก๊าซธรรมชาติ (+12%)
หุ้นในกลุ่มกองทุน Utilities Select Sector SPDR Fund (NYSE:XLU) กำลังวิ่งอยู่ใกล้จุดสูงสุดตลอดกาลของราคาเพราะหุ้นในกลุ่มกองทุน ETF กลับทำผลงานได้ไม่ดีนักในการให้อัตราดอกเบี้ยตอบแทนต่ำ ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ETF ปรับตัวสูงขึ้น 18%
ส่วนหุ้นของบริษัทที่น่าจับตามองก็จะมี Dominion Energy (NYSE:D) และ American Electric Power (NYSE:AEP) นักวิเคราะห์มองว่าผลกำไรที่บริษัท Dominion ในปีนี้จะสามารถทำได้อยู่ที่ $4,810 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นการปรับตัวสูงขึ้น 43% จากยอดขายในปีที่แล้ว ในขณะที่ AEP จะสามารถทำได้อยู่ที่ $4,030 ล้านเหรียญสหรัฐมากกว่าตัวเลขในปีที่แล้วอยู่ที่ $3,800 ล้านเหรียญสหรัฐ