Cyber Monday Deal: ลดสูงสุด 60% InvestingProรับส่วนลด

4E สำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินหลังวิกฤติโคโรนาไวรัส

เผยแพร่ 11/08/2563 06:13
อัพเดท 07/11/2567 09:48

ในเดือนที่ผ่านมา ผมชวนทุกท่านคุยเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในครึ่งปีแรกซึ่งเป็นช่วงที่เราได้เผชิญกับวิกฤติโคโรนาไวรัสไปแล้ว และสัญญาว่าเดือนนี้จะกลับมาคุยกันเรื่องมุมมองในอนาคตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
 
โดยเมื่อมองย้อยกลับไปศึกษาวิกฤติครั้งนี้ทั้งในมุมเศรษฐกิจและตลาดการเงินจะพบว่าต้นตอของปัญหา ทางแก้ไข ความเร็ว และการติดต่อ คือ “ความต่าง” จากวิกฤติอื่น ๆ  ในอนาคต สิ่งที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินจึงต้องครอบคลุมบริบทดังกล่าว ซึ่งผมมองว่าประเด็นสำคัญทั้งหมดมีให้จำง่าย ๆ ด้วยตัว “E” สี่ตัวด้วยกัน
 
ตัวแรกคือ Evidence แน่นอนว่าผมหมายถึงหลักฐานความสำเร็จของยาต้านไวรัส
 
ประเด็นนี้จะเป็นตัวกำหนด “ความเร็ว” ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดการเงินในอนาคต ล่าสุดนักวิเคราะห์ประเมินกันว่าวัคซีนจะพัฒนาสำเร็จในช่วง “กลางปี 2021” กลุ่มธุรกิจที่ต้องอาศัยการติดต่อทางตรงจึงอาจต้องรอไปก่อน 
 
แต่เมื่อไหร่ที่ยาต้านไวรัสพัฒนาสำเร็จ ตลาดการเงินก็จะเข้าสู่ช่วง “เติบโตใหม่” ความมั่นใจจะกลับมาเต็มที่ เมื่อถึงจุดนั้นการลงทุนแบบมูลค่า (Value) ก็มีโอกาสกลับมาแข่งกับการลงทุนที่เน้นแต่การเติบโต (Growth) ในช่วงนี้ได้
 
Election คือ ตัวที่สอง 
 
โดยวันที่ต้องปักหมุดไว้บนปฏิทิน คืออังคารที่ 3 พฤศจิกายน ซึ่งเหลืออีกไม่ถึง 90วัน เราก็จะรู้แล้วว่าใครจะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
 
ในการเลือกตั้งช่วง 70ปีที่ผ่านมา (ไม่นับรวมปีเศรษฐกิจถดถอย) ปีเลือกตั้งมักเป็นปีที่หุ้นสหรัฐปรับตัวบวกต่อเนื่องจากต้นปีมาจนถึงเดือนกรกฎาคม ก่อนที่จะเคลื่อนไหวกว้าง ๆ ก่อนเลือกตั้ง และจะปรับตัวขึ้นอีกครั้งในปีถัดไปเพราะ “ความไม่แน่นอน” จะปรับตัวลงไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใคร
 
แต่ครั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็น “ทางแก้ปัญหาหลัก” นำไปสู่การขาดดุลทางการคลังอย่างมหาศาลไปก่อนหน้าแล้ว 
 
ถ้าอยากกระตุ้นเศรษฐกิจต่อแบบไม่สร้างภาระทางการเงิน ก็ต้องมองเรื่องการเก็บภาษีซึ่งเป็นลบต่อตลาดหุ้น หรือถ้าไม่แก้ไขการขาดดุล ก็จะต้องเผชิญกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
พูดให้ชัดคือการเลือกตั้งในสหรัฐ จะเป้นตัวกำหนดทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แม้จะปัจจัยบวกในระยะสั้น แต่นโยบายการคลังจะสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินในระยะยาวแน่นอน
 
ตัวที่สามคือ Europe ที่จะส่งผลกับการจัดสรรเงินลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกมากที่สุด
 
สิ่งที่ทำให้ยุโรปสำคัญมีด้วยกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแนวทางนโยบายการเงินที่สหภาพยุโรปใช้การ “กู้ร่วม” แก้วิกฤติ จึงช่วยแบ่งเบาภาระทางการคลังให้กับประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจโดยตรงได้
 
เปรียบเทียบกับสหรัฐที่มีการกู้ยืมสูง จนสถานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของดอลลาร์ถูกตั้งคำถาม ความต้องการ “เงินยูโร” ที่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอันดับสองจึงเพิ่มขึ้นหลังวิกฤติ
 
ดังนั้น เมื่อไหร่ที่ตลาดทุนฝั่งยุโรปสามารถพลิกค่าเงินที่แข็งมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงินที่ถูก หรืออำนาจการซื้อของชาวยุโรปที่เพิ่มขึ้น ตลาดเงินตลาดทุนก็อาจถึงเวลาย้ายฐานออกจากสหรัฐหลังวิกฤติ[hk’
 
และ สุดท้ายแต่สำคัญไม่แพ้ตัวอื่นก็คือ Emerging Markets
 
เพราะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกไม่มีทางจะกลับไปขยายตัวอย่างมั่นคงได้ถ้าประเทศในตลาดเกิดใหม่ (EM) ไม่ฟื้นตัว แต่ในทางกลับกัน ประเทศเหล่านี้กลับยังคง “ติดโคโรนาไวรัส” ไม่หาย
 
และขณะที่เงินเฟ้อหรือดอลลาร์ซึ่งเคยเป็นปัญหาหลักลดความน่ากังวลลง แต่ EM กลับไม่สามารถฉกฉวยโอกาสเติบโตได้ เพราะส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งวัฏจักรและเงินทุนจากต่างประเทศอยู่
 
แต่ถ้ามองมุมกลับ วิกฤติครั้งนี้ทำให้ทั่วโลกเปิดรับเทคโนโลยีมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ถ้า EM เปลี่ยนมา “ติดเทคโนโลยี” และใช้ไอทีเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนเสริมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เหมือน Developed Markets ตลาดการเงินโลกก็จะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่ต้องสงสัย
 
และนั่นก็คือ ทั้งสี่ที่ผมคาดว่ากำลังจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของอนาคต
 
ในฝั่งเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่าความเร็วและความแรงของนโยบายรับมือไวรัส คือประเด็นที่ทุกคนต้องจดจำมากกว่าไวรัสเสียอีก ส่วนในฝั่งตลาดการเงินก็ต้องจำว่าสินทรัพย์ที่เคยคิกว่าแพงก็อาจแพงขึ้นได้เสมอ
 
อย่างไรก็ดี ส่วนตัวผมกลับไม่เชื่อว่าสองสิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ (New Normal) เหมือนอย่างที่หลายคนประเมินกัน 
 
เพราะผมไม่คิดว่าจะมีประเทศไหนที่สามารถอัดฉีดสภาพคล่องเลี้ยงเศรษฐกิจได้ตลอดไป และก็ไม่คิดว่าตลาดการเงินจะซื้อขายโดยใช้แต่ความหวังโดยไม่สนใจพื้นฐานไปได้ตลอด

นักลงทุนมักสงสัยว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไปจากวิกฤติครั้งนี้ แต่กลับลืมตั้งคำถามต่อว่า ประเด็นไหนที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริง
ซึ่งผมเชื่อว่า 4E จะเป็นสิ่งที่เราต้องจับมาที่สุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย