โดย Ambar Warrick
Investing.com – ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดีหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและให้คำมั่นที่จะกระชับนโยบายการเงินอย่างจริงจังเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่สูง
ดัชนีที่เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่นั้นได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยติดตามแนวโน้มที่คล้ายคลึงกันในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เนื่องจากนักลงทุนปรับลดกำไรในอนาคตจากภาคส่วนนี้ลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ดัชนีฮั่งเส็ง ของฮ่องกงร่วงลง 2.1% ในขณะที่ดัชนี Weighted Taiwan ร่วงลง 1.1% KOSPI ของเกาหลีใต้ร่วงลงเกือบ 1%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 จุดพื้นฐานติดต่อกันเป็นครั้งที่สามเมื่อสิ้นสุดการประชุมเมื่อวันพุธ โดยประธานเจอโรม พาวเวลล์ ให้คำมั่นว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขนาดที่สูงชันมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานจะแตะ 4.4% ภายในสิ้นปี 2022 และเพิ่มขึ้นอีกในปี 2023
พาวเวลล์ยังส่งสัญญาณว่าธนาคารยินดีที่จะเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานจากการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากดูเหมือนว่าเงินเฟ้อจะยังไม่ลงสู่กรอบเป้าหมาย
น้ำเสียงของเฟดถูกมองว่าดุดันกว่าที่คาดไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงกดดันต่อตลาดการเงินที่มาจากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นคาดว่าจะดำเนินต่อไปในปีหน้า
ค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีหลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี
ดัชนีวอลล์สตรีทร่วงลงในชั่วข้ามคืนเช่นกัน ทำให้หุ้นเอเชียเป็นผู้นำในการทำผลงานแย่ หุ้นฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ระบุว่าความอ่อนแอในตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะยังคงดำเนินต่อไป
ดัชนีนิคเคอิ 225 ของญี่ปุ่นร่วงลง 0.6% แม้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำมากเป็นพิเศษและรักษาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย โดยประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงและต้นทุนการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น
ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นหลาย ๆ ที่ ที่ทำผลงานโดดเด่นสำหรับวันนี้ โดยเพิ่มขึ้น 0.2% ก่อนการประชุมธนาคารกลาง มีการคาดว่าธนาคารอินโดนีเซียจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือน