InfoQuest - สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันจันทร์ (9 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมองว่าการสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 3.59 หรือ 4.3% ปิดที่ 86.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.ปีนี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.57 ดอลลาร์ หรือ 4.2% ปิดที่ 88.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัวในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ต.ค.) โดยระดมยิงจรวดหลายพันลูกจากฉนวนกาซา พร้อมทั้งส่งกองกำลังติดอาวุธหลายสิบคนแทรกซึมเข้าไปโจมตีในหลายเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล ส่งผลให้ชาวอิสราเอลถูกสังหารกว่า 700 ราย
ทางด้านอิสราเอลตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินรบถล่มฉนวนกาซา ทำให้บ้านเรือน มัสยิด และบ้านพักของเจ้าหน้าที่กลุ่มฮามาสได้รับความเสียหายอย่างหนัก ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 500 ราย ขณะที่นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศว่า อิสราเอลจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของตะวันออกกลางด้วยการตอบโต้กลุ่มฮามาสอย่างสาสม
นอกจากนี้ ทางการอิสราเอลได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวเกี่ยวกับการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันในฉนวนกาซากับกลุ่มฮามาส หลังจากที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ฮามาสรายหนึ่งเปิดเผยว่า กลุ่มฮามาสได้เจรจากับกาตาร์ ซึ่งเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยเกี่ยวกับการปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลที่เป็นผู้หญิง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวนักโทษหญิงชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังในอิสราเอล โดยกลุ่มฮามาสอ้างว่าได้จับตัวประกันจากอิสราเอลราว 130 คนจากการโจมตีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ไมเคิล ลินช์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Strategic Energy & Economic Research คาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน อย่างน้อยก็ในระยะสั้นนี้ และหากมีหลักฐานบ่งชี้ว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนให้กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลจนเป็นเหตุให้อิสราเอลทำการตอบโต้อิหร่าน ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นทะลุระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล