โดย Liz Moyer
Investing.com -- ภาพรวมของสามประเด็นหลักฝั่งสหรัฐที่น่าสนใจประจำวันนี้มีดังต่อไปนี้
1. การรายงานผลประกอบการของบริษัทกำกับดูแลผู้ลงทุนรายย่อย
การรายงานผลประกอบการในวันนี้ประกอบไปด้วย Bank of America Corp (NYSE:BAC), Morgan Stanley (NYSE:MS) และ Charles Schwab Corporation (NYSE:SCHW) โดยทั้งสามบริษัทน่าจะได้รับแรงหนุนจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกับธนาคารอื่น ๆ ในผลประกอบการของสัปดาห์นี้
ผลประกอบการ Schwab จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของผู้ลงทุนรายย่อย เนื่องจากประชาชนเริ่มหันมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นท่ามกลางสภาพตลาดที่ผันผวน และมาตรการล็อกดาวน์ที่กินเวลาส่วนใหญ่ของไตรมาสที่สองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนบางส่วนเริ่มเจียดเวลาว่างมาลงทุนในตลาดมากขึ้น ดังนั้นโบรกเกอร์ออนไลน์จึงมาแรงเป็นพิเศษในช่วงนี้ โดย Morgan Stanley กำลังวางแผนที่จะซื้อกิจการธุรกิจคู่แข่งของ Schwab นั่นก็คือ ETrade Financial เป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับที่ผู้ถือหุ้นของ Schwab เองก็เพิ่งอนุมัติการควบรวมกิจการเป็นมูลค่า 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐร่วมกับบริษัท TD Ameritrade (NASDAQ:AMTD)
โดยผลคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ Investing.com รวบรวมมา คาดว่า Schwab จะมีผลกำไร 52 เซนต์ต่อหุ้นและคาดว่าจะมีรายได้ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
2. Netflix รายงานผลประกอบการ
Netflix Inc (NASDAQ:NFLX) จะรายงานผลประกอบการในวันนี้ ซึ่ง Nexflix เป็นบริษัทที่ได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากคำสั่งล็อกดาวน์ที่ส่งผลให้อุปสงค์การใช้บริการด้านความบันเทิงสูงขึ้น และคาดว่าจะมีกำไรต่อหุ้น $1.82 กับรายได้ 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ FAANG Netflix จึงได้หนุนดัชนี NASDAQ Composite ให้ทำระดับสูงสุดครั้งใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทว่าการแข่งขันในแวดวงผู้ให้บริการสตรีมเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการเปิดตัวบริการคู่แข่งมากมาย รวมทั้งบริการใหม่ของ NBC Universal ที่เพิ่งเปิดตัวในสัปดาห์นี้ด้วย
หุ้นของ Netflix ทำระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ที่ $575 เมื่อวันจันทร์ แต่ก็ปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ นับจากนั้น
3. ตัวเลขการค้าปลีกประจำเดือนมิถุนายน
ยอดการค้าปลีก จะรายงานออกมาในเวลา 8:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1230 GMT) นักวิเคราะห์จะจับตาดูว่าตัวเลขล่าสุดจะออกมาก้าวกระโดดเช่นเดียวกับเดือนพฤษภาคมอีกหรือไม่ และจึงคาดว่าในเดือนมิถุนายนยอดการค้าปลีกจะสูงขึ้น 5%
เมื่อเดือนพฤษภาคมยอดการค้าปลีกพุ่งทะยานเกินคาดถึง 17% หลังจากทรุดตัวลงในเดือนเมษายนเนื่องจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ส่วนยอดขายที่ไม่รวมยอดขายยานยนต์และน้ำมันในเดือนพฤษภาคมสูงขึ้น 2.4% โดยในเดือนมิถุนายนภูมิภาคส่วนใหญ่ของสหรัฐก็เริ่มกลับมาเปิดเศรษฐกิจมากขึ้น แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นครั้งใหม่ได้ส่งผลให้บางรัฐจำเป็นต้องยกเลิกการเปิดเศรษฐกิจอีกก็ตาม
หุ้นบริษัทผู้ค้าปลีกอย่าง Walmart Inc (NYSE:WMT) ปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดเนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากยังคงจับจ่ายอย่างต่อเนื่องแม้จะมีข้อจำกัดทางสังคม โดยหุ้น Walmart ได้แตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์เมื่อวานนี้ แม้หลังจากที่บริษัทประกาศว่าจะบังคับให้ลูกค้าสวมใส่หน้ากากอนามัยเข้าร้านค้าทั้งหมด 5,000 สาขา ซึ่งบริษัทอื่น ๆ อย่าง Best Buy Co Inc (NYSE:BBY) Costco Wholesale Corp (NASDAQ:COST) และ Apple Inc (NASDAQ:AAPL) ก็บังคับให้ลูกค้าสวมหน้ากากอนามัยเช่นเดียวกัน
หุ้นอื่น ๆ ที่ได้รับแรงหนุนจากยอดการค้าปลีกที่สูงขึ้นได้แก่ Hanesbrands Inc (NYSE:HBI) ซึ่งพุ่งทะยานถึง 15% เมื่อวานนี้หลังจากนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มการจัดอันดับหุ้น
ห้ามพลาด
♦การประชุมโอเปกไม่มีเซอร์ไพรส์ แต่น้ำมันจะไม่เพิ่มมาในตลาดมากเท่าที่คาด
♦กองทุนรวมจีนกระแสตอบรับล้นหลาม ทั้งกระแสเงินสดไหลเข้าและกองทุนเปิดใหม่จำนวนมาก
กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้