Investing.com - ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ย่อตัวลงพอสมควรเมื่อวานนี้ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินที่ติดลบ
ดัชนี S&P 500 ขยับลง 0.2% และดัชนี Nasdaq Composite ปรับลง 0.38% ส่วน ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ร่วงลง 0.17% ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ก็ปรับลงกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะในจีนและฮ่องกงเนื่องจากความกังวลด้านความสัมพันธ์ทางการค้ากับเหตุการณ์ความไม่สงบในฮ่องกง
หุ้นที่ทำผลงานได้แย่ในดัชนี S&P 500 คือหุ้นกลุ่มพลังงาน อันได้แก่หุ้นผู้ผลิตน้ำมันและผู้ให้บริการด้านน้ำมันเพราะราคาน้ำมันทรุดตัวลง ทั้ง Halliburton (NYSE:HAL) และ Schlumberger (NYSE:SLB) เป็นสองหุ้นที่อยู่ในกลุ่มผู้ที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดเมื่อวานนี้
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ขยับลง 4% สู่ระดับ $51.14 ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นราคาปิดที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม อีกทั้ง สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ จากทั่วโลกก็ขยับลง 3.7% หรือ $2.32 เท่ากับ $59.97 ต่อบาร์เรล เป็นราคาปิดที่ต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม บรรดาผู้ลงทุนจึงเริ่มเกิดความกังวลว่าปริมาณน้ำมันดิบทั่วโลกกำลังจะเพิ่มขึ้น
ทางด้าน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบสิบปี ก็ร่วงลงถึง 2.127% และอัตราผลตอบแทนที่ทรุดตัวลงก็มักส่งผลกระทบต่อหุ้นทางการเงิน ทั้งหุ้นของ Goldman Sachs (NYSE:GS), JPMorgan Chase (NYSE:JPM) และ Wells Fargo (NYSE:WFC) เป็นสามหุ้นที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ และราคาหุ้น Goldman Sachs ที่ร่วงลงถึง 2.4% ได้ฉุดให้ราคาดัชนี Dow ติดลบเกือบถึง 32 จุด
หุ้นบริษัทผู้ผลิตของเล่น Mattel พุ่งขึ้นถึง 5.27% หลังมีรายงานว่าบริษัทได้ปฏิเสธการขอซื้อต่อกิจการจากบริษัทเอกชนชื่อ MGA Entertainment เป็นครั้งที่สอง ทั้งนี้กลับไม่มีการเปิดเผยราคาที่เสนอซื้อแต่อย่างใด