โดย Detchana.K
Investing.com - ตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงผันผวนตามแรงหุ้นภูมิภาค ซึ่งถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ที่พุ่งไม่หยุดในต่างประเทศ และความวิตกภายในประเทศจากกรณีทหารอียิปต์ และลูกคณะฑูตที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 และนักลงทุนยังรอการปรับคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะผู้ที่จะมากุมบังเหียนทีมเศรษฐกิจซึ่งจะมีผลต่อนโยบายทางการเงินและตลาดหุ้นบ้านเรา ส่วนในสัปดาห์หน้าทั้งฝั่งไทยและสหรัฐจะมีรายงานตัวเลขที่สำคัญออกมา นั่นคือตัวเลขนำเข้าส่งออกไทยประจำเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องที่ 6.4% จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว -22.5% ส่วนฝั่งสหรัฐจับตาดัชนี PMI ภาคการผลิต และยอดขายบ้าน ติดตามรายละเอียดพร้อมประเด็นที่นักลงทุนไทยควรรู้สำหรับวันนี้
1.Covid-19 และสงครามการค้ายังกดดันตลาดหุ้นโลกอยู่ สัปดาห์หน้าให้น้ำหนักตัวเลขเศรษฐกิจทั้งไทยและสหรัฐ
ตลาดหุ้นโลกแกว่งตัวผันผวน โดยตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี Dow Jones ลดลง 0.5%, S&P 500ลดลง 0.3%, NASDAQ ลดลง 0.7% จากความกังวลเรื่องสถานการณ์ไวรัส COVID19 ยังลุกลามอย่างต่อเนื่อง โดยจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนราย สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นต่อ ภายหลัง นาย Mike Pompeo รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเตรียมระงับการให้ VISA สหรัฐแก่พนักงานบริษัท IT ของจีนที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนในเขตซินเจียงอุยกูร์ (คาดว่ามุ่งเน้นไปที่บริษัท Huawei) ความกังวลต่างๆข้างต้น เชื่อว่าจะยังเป็นประเด็นที่ต้องให้น้ำหนักต่อไป
โดยปัจจัยทีให้น้ำหนักในสัปดาห์หน้า คือการรายงานดัชนีชี้นําเศรษฐกิจสหรัฐประจําเดือน มิ.ย.2563 ช่วงครึ่งท้ายของสัปดาห์ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง , ยอดขายบ้านใหม่, และดัชนี PMI ภาคการผลิต โดยตลาดคาดว่าดัชนีต่างมีแนวโน้มฟื้นตัว สอดคล้องกับยอดค้าปลีกที่รายงานวานนี้ พบว่าเพิ่มขึ้น 7.5%mom ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการคลาย Lockdown
ส่วนในประเทศให้น้ำหนักกับการรายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน มิ.ย. 2563 ในวันที่ 22 ก.ค. 2563 เบื้องต้นตลาดคาดว่าการส่งออกจะหดตัว -6.4%yoy ต่อเนื่องจากเดือน พ.ค. 2563 ที่หดตัว -22.5% ส่วนการนําเข้าคาดหดตัว 18%yoy จากเดือน พ.ค. 2563 ที่หดตัว -33.4% เนื่องจากแม้หลายประเทศเริ่มคลาย Lockdown แล้ว แต่ยังคงเข้มงวดด้านการค้าระหว่างประเทศ ดูดัชนี SET
2.เข้าสู่ฤดูกาลประกาศกำไรกลุ่มธนาคารเริ่มด้วย TISCO
เข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลการดําเนินงานของกลุ่มธนาคาร โดยฝ่ายวิจัยของ บลจ.เอเชียพลัสคาดกําไรกลุ่มธนาคารงวด 2Q อยู่ที่ 37,744 ล้านบาท ลดลง 15% QoQ (-25% yoy) เนื่องจากคาดการณ์รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ ลดลง 6% QoQ ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารในช่วงที่ผ่านมา ซึงไม่สามารถชดเชยได้กับสินเชื่อกลุ่มฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัว 4.7 % QoQ(+6.4% YTD) อยู่ที 12.7 ล้านล้านบาท จากความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงมาตรการพักชําระหนี้ (Loan payment holiday) ที่มีลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการราว 40% ของสินเชื่อทั้งระบบ ภาพรวมส่งผลให้ NIM ลงมาที่2.92 % จาก 3.23 % ในงวดก่อน
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมฯ ประเมินอ่อนตัว 11% QoQ จากธุรกรรมทางการเงินที่ชะลอตัวลง สืบเนืองจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดลงในช่วงเม.ย. – พ.ค. หลังรัฐบาลประกาศ Lock down ประเทศ ประกอบกับมองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss : ECL) เร่งตัวขึ้น 7% QoQ มาอยู่ที่ 54,360 ล้านบาท คิดเป็น Credit Cost ที 1.75 % จาก 1.69 % ในงวด 1Q63 แม้มี Loan payment holiday (ลูกหนี้ไม่ตกชั้น) แต่เชื่อ ธ.พ. ยังไม่ผ่อนการตั้งสํารองจากระดับ Q63 ผ่านการตั้ง ECL ในส่วนของ Management Overlay
องค์ประกอบรวมข้างต้นไม่สามารถหักล้างได้กับรายการกําไร (ขาดทุน) สุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรม (FVTPL) ประเมินไว้ 9.619ล้านบาท สูงขึ้นจาก 644 ล้านบาท ในงวด 1Q63 หลังงวดก่อนทัง ธนาคารกสิกรไทย(BK:KBANK) และ ธนาคารกรุงเทพ (BK:BBL) มีผลขาดทุนจากรายการดังกล่าว 2,898 ล้านบาท และ 1,689 ล้านบาท ซึ่งในงวดนี้มีแรงหนุนจากเงินลงทุนในหุ้น น่าจะได้รับอานิสงค์จากการที่ SET Index ฟื้นตัวราว 19% จากระดับดัชนี ณ สิ้นงวด 1Q63
วันนี้ช่วงเย็น ติดตาม ทิสโก้ (BK:TISCO) ซึ่งประกาศงบเป็นธนาคารแรก คาดกําไรสุทธิ ที่ 1,330 ล้านบาท ลดลง 11% QoQ (-26% yoy) และที่เหลือในวันที่ 20 (KBANK, (BK:SCB), (BK:TMB) และ (BK:KKP))
3. 5G จะมาพลิกโฉมประเทศไทย
จากการสัมมนา 5G พลิกโฉมประเทศไทยวานนี้ คุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ (รัฐมนตรีกระทรวง DE) เน้นย้ำถึงความสำคัญของ 5G ต่อการขับเคลื่อนประเทศ ความสำเร็จของการประมูลคลื่น 5G ช่วงต้นปี2563 ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่เปิดประมูล 5G ใน ASEAN โดยภาครัฐต้องการให้ 5G เข้าถึงได้ทั่วประเทศ ไม่ใช่เพียงเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น
และเน้นย้ำความสำคัญของการวางสาย Fiber Optic จากประเทศจีนมาถึงไทย (สร้าง Submarine Cable) เพื่อสร้าง Thailand เป็นศูนย์กลาง ASEAN Digital Hub
ภาคเอกชน (BK:TRUE) ประเมินตลาดเอเชียจะเป็นผู้นำ 5G ของโลก ต่างจากยุค 4G ที่ฝั่งยุโรปและ อเมริกาเป็นผู้นำ คนจีนกว่า 1 พันล้านคนจะใช้ 5G ภายในปี 2568ซึ่ง COVID-19 เป็นตัวเร่งให้ 5G ก้าวเข้ามามีบทบาทเร็วขึ้น
(BK:ADVANC) คาดว่า 5G จะเป็นตัวจักรสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศฟื้นตัวจาก COVID-19 เช่น 1) การพัฒนา Smart Industrial Estate ในพื้นที่ EEC ,การเพิ่มมูลค่าการผลิตและการบริการผ่านเทคโนโลยี 5G และการพัฒนาท่าเรือและสนามบินอู่ตะเภา ขณะที่รูปแบบการให้บริการในยุค 5G จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ADVANC วางเป้าหมายเป็น Platform ผู้นำในยุค 5G
นักวิเคราะหจากหยวนต้ามองว่าผลประกอบการของกลุ่ม Mobile Operators กำลังจะผ่านจุดต่ำสุดของปี ใน 2Q63 ที่โดนผลกระทบ COVID-19 เต็มไตรมาสและการอุดหนุนค่าโทรฟรีและ Net 10GB ให้กับภาครัฐ ดังนั้น หากไม่มีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจนเกินไป ตลาด Telecom ใน 2H63 มีโอกาสฟื้นตัว HoH