ในที่สุด เป๊ปซี่ (Pepsi) แบรนด์น้ำอัดลมคู่แข่งรายสำคัญของ โคคา โคล่า (Coca-Cola) ก็ได้กระโจนเข้าสู่โลกของโทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือ NFT อย่างเป็นทางการแล้ว โดยพวกเขาอาศัยวาระสำคัญในการเฉลิมฉลองวันครบรอบ 128 ปี การก่อตั้งแบรนด์ มาเป็นโอกาสในการเปิดตัว NFT Collection แรกของพวกเขาบน Ethereum Blockchain
NFT ของเป๊ปซี่ งานศิลป์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างลงตัว
NFT Collection แรกของเป๊ปซี่นั้นจะมีชื่อว่า “Pepsi Mic Drop” โดยเป็นคอลเล็กชั่นรูปโปรไฟล์ของ “ไมโครโฟน” ที่สร้างแบบสุ่มด้วยอัลกอริทึม และมีจำนวนทั้งสิ้น 1,893 ชิ้น ซึ่งเลขปริมาณชิ้นงานข้างต้นนี้ก็คือปีที่ก่อตั้งบริษัทเป๊ปซี่ขึ้นมานั่นเอง
ทั้งนี้ สาเหตุที่พวกเขาเลือกสร้างผลงาน NFT ชุดแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ผ่านตัวอวตารไมโครโฟน ก็เป็นเพราะว่า พวกเขาตั้งใจที่จะสะท้อนตัวตนของแบรนด์ที่ถูกผูกไว้กับดนตรี และวัฒนธรรมป๊อบ นั่นเอง โดย Todd Kaplan รองประธานด้านการตลาดของบริษัท ได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า
“เป๊ปซี่เป็นแบรนด์ที่มีประเพณีที่แข็งแกร่งในด้านของดนตรี และวัฒนธรรมป๊อปมาโดยตลอด ดังนั้นการที่เราได้ส่งผ่านมรดกที่ว่ามาสู่โลกใหม่ของ NFT ด้วยการปล่อยชุด ‘ไมค์ดรอป’ สุดพีคชุดใหญ่ จึงถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเราที่สุดแล้ว”
สิ่งที่สำคัญสำครับเจ้า NFT ของเป๊ปซี่ชุดนี้ก็คือทางเป๊ปซี่นั้นปล่อยให้เหล่าผู้ใช่สามารถเข้ามาเป็นเจ้าของได้ฟรี โดยจะเสียค่าใช้จ่ายเฉพาค่าธรรมเนียมก๊าซเท่านั้น
“เราสร้างคอลเลกชัน NFT ชุดบุกเบิกของแบรนด์อย่าง Pepsi Mic เพื่อแฟน ๆ ของเราโดยเฉพาะ ซึ่งเราก็ได้ให้ความสำคัญกับความสนใจ และความต้องการของพวกเขาเป็นที่หนึ่ง โดยทำให้แน่ใจว่า NFTs ชุดนี้นั้นจะไม่มีค่าใช้จ่าย และนำเสนอต่อผู้คนทั้งหลายอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุก ๆ คนมีโอกาสที่จะเข้าถึงมัน และได้สัมผัสกับโลกที่น่าตื่นเต้นของ NFT”
ตลาด NFT ยังคงแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่
แม้ว่าตลาดของ NFT นั้นจะติดลมบนอยู่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ทว่าแนวโน้มการเติบโตของมันยังไม่มีท่าทีว่าจะชะลอตัวลงเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มเข้าใจความสำคัญของการใช้ประโยชน์จาก NFT และการจับจองพื้นที่บนโลก Web3.0 นั่นเอง
โดยในปี 2021 นี้ ถือเป็นปีที่แบรนด์ใหญ่ ๆ หลายแบรนด์ได้แห่เข้ามาสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว และใช้ประโยชน์จากมันด้วยสาเหตุหลากหลายประการ ไม่ว่าจะทั้ง Adidas, Facebook (ปัจจุบันคือ Meta), NBA, Louis Vuitton และอื่น ๆ อีกมากมาย ต่างก็หาพื้นที่ให้แบรนด์ของตนได้โลดแล่นอยู่ในโลกแห่ง Web3.0 กันอย่างสุดฤทธิ์ ซึ่งนั้นสะท้อนให้เราเห็นว่าการแข่งขันภายในสมรภูมิแห่งนี้ในอนาคตจะต้องทวีความดุเดือดมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน