🥇 กฎข้อแรกของการลงทุนหรือ? รู้ว่าเมื่อใดควรประหยัด! รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ก่อนโปรโมชั่น BLACK FRIDAY จะหมดเขตรับส่วนลด

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 67 เซนต์ รับเฟดหั่นดอกเบี้ย-นลท.ประเมินนโยบายทรัมป์

เผยแพร่ 08/11/2567 13:30
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 67 เซนต์ รับเฟดหั่นดอกเบี้ย-นลท.ประเมินนโยบายทรัมป์
C
-
LCO
-
CL
-

InfoQuest - สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) ขานรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินว่านโยบายต่าง ๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลต่ออุปทานน้ำมันอย่างไร

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.93% ปิดที่ 72.36 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.95% ปิดที่ 75.63 ดอลลาร์/บาร์เรล

ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น หลังจากคณะกรรมการเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน

ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนหลังจากสำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (BSEE) รายงานว่า การผลิตน้ำมันในเขตกัลฟ์โคสต์ของสหรัฐฯ กว่า 22% หรือประมาณ 391,214 บาร์เรล/วันได้ถูกระงับ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนราฟาเอล (Rafael)

นักลงทุนกำลังประเมินว่านโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์จะส่งผลต่ออุปทานน้ำมันอย่างไร โดยแอนดรูว์ ลิโพว์ ประธานบริษัท Lipow Oil Associates แสดงความเห็นว่า คณะรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของทรัมป์อาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดต่ออิหร่านและเวเนซุเอลา ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดปรับตัวลดลง โดยขณะนี้ตลาดกำลังประเมินว่านโยบายของทรัมป์จะออกมาเช่นไร

ด้านนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) คาดการณ์ว่า การที่ทรัมป์กลับมาครองอำนาจในทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สองอาจกดดันราคาน้ำมันไปจนถึงปี 2568 โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาษีการค้าและการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมัน โดยนโยบายของทรัมป์อาจสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนด้านการสำรวจและการผลิต และอาจยกเลิกการเพิ่มค่าภาคหลวงหรือค่าสัมปทานที่ใช้ในรัฐบาลของโจ ไบเดน

ซิตี้กรุ๊ประบุว่า อิทธิพลของทรัมป์ต่อกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจส่งผลให้โอเปกพลัสทยอยยกเลิกการปรับลดการผลิตน้ำมันเร็วขึ้น และคาดว่านโยบายของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรปและจีนที่เสี่ยงเผชิญกับภาษีการค้า ซึ่งอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกลดลง

กดอ่านข่าวต้นฉบับจาก InfoQuest

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย