InfoQuest - สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (6 พ.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.42% ปิดที่ 71.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 61 เซนต์ หรือ 0.81% ปิดที่ 74.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้น 1.61% แตะที่ระดับ 105.090 ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ราคาน้ำมันยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์พุ่งขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 412,000 บาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 878,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนกำลังประเมินว่านโยบายต่าง ๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลต่ออุปทานน้ำมันอย่างไร โดยในช่วงแรก ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 2 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากข่าวทรัมป์ชนะการเลือกตั้งส่งผลให้เกิดแรงขายในตลาดน้ำมัน และทำให้สกุลเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2565
ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันร่วงลงในช่วงแรก เนื่องจากนักลงทุนมองว่าชัยชนะของทรัมป์อาจเป็นเหตุให้บริษัทในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐฯ ขุดเจาะน้ำมันมากขึ้นและทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดปรับตัวสูงขึ้นด้วย
ขณะที่จิโอวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์จาก UBS แสดงความเห็นว่า การที่ทรัมป์กลับมาครองทำเนียบขาวอีกครั้งอาจจะนำไปสู่การต่ออายุมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซุเอลา ซึ่งจะทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดลดลง และเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน