ผลจากการพบปะกันในการประชุมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะกลับไปเจรจาทางการค้ากันอีกครั้ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเจรจาที่ส่งผลกระทบอย่างมากกับเศรษฐกิจทั่วโลก
ในช่วงเริ่มต้นการประชุม G20 สุดสัปดาห์นี้ นักลงทุนต่างมีความหวังว่าน่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้นในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะสังเกตได้จากการปรับตัวสูงขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ในเดือนมิถุนายนไต่ขึ้นไปได้ถึง 6.9% ซึ่งถือเป็นเดือนที่มีการปรับตัวขึ้นได้สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา โดยมีสาเหตุมาจากความคาดหวังว่าประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองประเทศจะหาทางออกร่วมกันได้ ประกอบกับความคาดหมายที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงด้วย
อย่างไรก็ตาม การพักรบกันทางสงครามการค้าครั้งนี้ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะหมดไปอย่างถาวรแต่อย่างใด แม้จะมีความหวังมากขึ้นว่าทั้งสองประเทศต้องการที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบทางด้านลบที่จะเกิดขึ้นก็ตาม หากพิจารณาในภาพรวมแล้ว เรากำลังจับตามองหุ้นขนาดใหญ่ 3 ตัวที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากตลาดจีน โดยน่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้นกับหุ้นทั้งสามตัวในช่วงสัปดาห์หน้านี้
1. Nvidia
บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Nvidia (NASDAQ:NVDA) อาจเป็นผู้นำทีมที่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาแซงหน้าหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดความผันผวนค่อนข้างสูงจากการที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงการถือหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปเนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งทางด้านความต้องการและปัญหาสงครามการค้า
ประเทศจีนเป็นทั้งตลาดหลายใหญ่และยังเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของ Nvidia อีกด้วย เนื่องจาก ยอดขาย กว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทมาจากจีน ดัชนีอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ในช่วงเดือนพฤษภาคมปรับตัวลงถึงเกือบ 17% ซึ่งนับว่าเป็นการปรับตัวลงในรอบเดือนที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2008 เป็นต้นมา แต่หลังจากนั้นในเดือนมิถุนายนก็ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้เกือบ 13% ซึ่งถือว่าเป็นการฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2011 เป็นต้นมา
นายควินน์ โบลตัน นักวิเคราะห์อาวุโสด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จาก Needham รายงานไว้ในเดือนพฤษภาคมว่า "ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายบริษัทมีรายได้จากการขายไปยังจีนจำนวนมาก” เขาเสริมว่า “การที่ยังต้องพึ่งพากำลังซื้อจากจีนจึงทำให้อุตสาหกรรมกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ต้องประสบความเสี่ยงกับสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นมากกว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในกลุ่มอื่นๆ”
หลังจากที่ Nvidia เคยทำราคาสูงสุดตลอดกาลได้ที่ระดับ $292.76 ในเดือนตุลาคม แต่ปัจจุบันราคาหุ้นของ Nvidia มีมูลค่าลดลงไปเกือบ 44% เนื่องจากมีปริมาณความต้องการซื้อที่ลดลง ประกอบกับปริมาณสินค้าคงคลังเพิ่มสูงขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทไปปิดตลาดอยู่ที่ $164.23 โดยเพิ่มขึ้นเพียง $0.61%
2. Apple
หนึ่งในบริษัทผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ยังคงตกอยู่ ภายใต้แรงกดดัน ตั้งแต่สงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทวีความรุนแรงมากขึ้นคือบริษัท Apple (NASDAQ:AAPL) บริษัทได้ส่งจดหมายถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ในเดือนนี้โดยระบุว่า หากประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันที่จะเรียกเก็บภาษี 25% กับสินค้าล็อตใหม่ที่จะนำเข้าจากจีน จะทำให้เกิดความเสี่ยงกับธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างมาก
บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตไอโฟนรายนี้มีการจ้างแรงงานราว 2 ล้านคนในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท ซึ่งยังไม่นับรวมถึงพนักงานฝ่ายพัฒนาแอปพลิเคชันของ Apple อีกเป็นจำนวนพอๆ กัน บริษัท Apple ทำการออกแบบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในสหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องนำเข้าสินค้าที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้วมาจากจีน
การพักรบในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนน่าจะช่วยให้หุ้นของหนึ่งในบริษัทผู้นำทางเทคโนโลยีรายนี้หลุดพ้นความเสี่ยงทางด้านเครือข่ายซัพพลายเออร์ในจีนไปได้อีกเปราะหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ
หุ้นของ Apple ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ระดับ $197.92 โดยปรับตัวลดลงราว 1% อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว หุ้นของบริษัทก็สามารถปรับตัวขึ้นมาได้กว่า 10%
3. Nike
บริษัทผู้ผลิตสินค้าทางด้านกีฬาอย่าง Nike (NYSE:NKE) ก็ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตในอุตสาหกรรมการผลิตดั้งเดิมที่จะได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางสงครามการค้าอย่างมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ Nike
จาก รายงานผลประกอบการ ล่าสุดของบริษัทที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ บริษัทมีรายได้จากจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้น 22% ซึ่งนับว่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์สองหลักติดต่อกันได้เป็นไตรมาสที่ 20 แล้ว นอกจากนั้นในปีที่แล้ว จีนยังเป็นผู้ผลิตรองเท้าและชุดกีฬาให้กับ Nike ถึง 26% อีกด้วย
จนถึงปัจจุบัน Nike ยังคงไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด และยังคงเดินหน้าผลิตสินค้าจากจีนต่อไป โดยผู้บริหารบริษัทกล่าวในการประชุมว่าน่าจะมีโอกาสที่จะขยายฐานการผลิตในจีนได้อีก
จากรายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด บริษัททำกำไรได้ $0.62 ต่อหุ้น ซึ่งน้อยกว่าที่คาดไว้ที่ $0.66 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายและภาษีที่สูงขึ้น หุ้นของบริษัทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดตลาดที่ระดับ $83.86 โดยปรับขึ้นจากราคาต่ำสุดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่เคยอยู่ที่ $77 ได้ราว 9%