ปัจจัยพื้นฐาน นโยบายทางการเงินและภูมิรัฐศาสตร์ถือเป็นสามปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานสามารถวัดและติดตามได้แต่ไม่มีทางเลยที่จะมีใครสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ที่ส่งผลกับโลกทั้งใบ นโยบายทางการเงินหรือภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์จะสามารถคาดการณ์ผลที่จะตามมาในระยะยาวได้แต่ความจริงที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ในปี 2020 ที่พึ่งจะมาถึงนี้จะเป็นปีที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาจากปี 2019 นอกจากเศรษฐกิจแล้วพลังงานอันดับต้นๆ ของโลกทีมีความต้องการอยู่ทุกวันอย่างน้ำมันก็หนีไม่พ้นที่จะต้องรับผลกระทบด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับ 4 ปัจจัยใหญ่ๆ ที่รับรองว่าถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นจะกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างแน่นอน
1. จีนจะนำเข้าน้ำมันน้อยลง
ประเทศจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมาเป็นเวลานานหลายปี นับตั้งแต่ปี 2015 มีข่าวว่าประเทศจีนมีการขยายคลังเก็บน้ำมันดิบของตัวเองอยู่ตลอดและด้วยวิธีการนี้เองที่ทำให้ประเทศที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตน้ำมันหลักสามารถคานอำนาจกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลักได้ในปี 2015 และ 2016
แต่ในปัจจุบันที่เริ่มมีสัญญาณการเติบโตที่ชะลอตัวลงในประเทศจีนจึงทำให้ผู้นำของจีนต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะหยุดการใช้พลังงานจากน้ำมัน หยุดสร้างที่คลังเก็บน้ำมัน ลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันและหาพลังงานอย่างอื่นมาทดแทนซึ่งถ้าจีนทำได้สำเร็จจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวได้อย่างมหาศาล
ผลกระทบอีกประการถ้าหากจีนสามารถหาพลังงานทดแทนมาใช้ได้จริงและลดการนำเข้าน้ำมันก็คือประเทศผู้ส่งน้ำมันให้กับประเทศจีนอย่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะได้รับผลกระทบก่อนเมื่อลูกค้าอันดับต้นๆ ของพวกเขาหายไป นอกจากสองประเทศนี้แล้วสหรัฐฯ เองก็จะได้รับผลกระทบด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจีนจะมีอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ ได้มากยิ่งขึ้น
2. ความตึงเครียดของสถานการณ์ในอีรักจะเพิ่มสูงขึ้น
ปัญหาการเมืองทางตอนใต้ของอิรักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาซึ่งข้อมูลล่าสุดที่เราได้รับมาก็คือการประท้วงของชาวอีรักที่มีต่อรัฐบาลของพวกเขาเกี่ยวกับการคอรัปชันนั้นรุนแรงบานปลายมากขึ้น
สถานการณ์ความรุนแรงของอีรักเช่นนี้มักจะส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมน้ำมันในอีรักเพราะนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมาอีรักคือประเทศผู้ผลิตน้ำมันเป็นอันดับห้าของโลกและอาจขยับขึ้นไปครองอันดับที่ 4 ได้แล้วตอนนี้หากพวกเขาสามารถผลิตน้ำมันได้ 4.88 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 28 ธันวาคมปี 2019 ผู้ประท้วงได้ทำการปิดโรงงานน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งผลิตน้ำมันต่อวันได้มากกว่า 90,000 บาร์เรลต่อวัน
ยิ่งไปกว่านั้นความเป็นไปได้ที่ตอนนี้การผลิตน้ำมันของอีรักอาจจะถูกสหรัฐฯ แทรกแซงเพิ่มสูงขึ้นโดยสหรัฐฯ อาจจะอ้างถึงกรณีที่มีทหารอีรักผู้รักชาติไปคุกคามฐานที่มั่นของสหรัฐฯ ในอีรักซึ่งสหรัฐฯ อาจสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศได้
3. รัสเซียอาจออกจากการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มโอเปก
แม้ว่าเมื่อปลายปี 2019 ที่ผ่านมาตลาดพึ่งจะได้รับข่าวดีที่รัสเซียตกลงกับโอเปกในการยืดระยะเวลาในการลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 แต่ในความเป็นจริงรัสเซียเริ่มมองข้ามความสัมพันธ์กับโอเปกในปัจจุบันไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายอเล็กซานเดอร์ โนวาค รัฐมนตรีซึ่งทำงานเกี่ยวกับการดูแลน้ำมันโดยตรงได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อโทรทัศน์รัสเซียช่องหนึ่งว่าปี 2020 อาจจะเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่รัสเซียจะประเมินเกี่ยวกับสัญญาและการเข้าร่วมกับกลุ่มโอเปกใหม่ รัสเซียอาจหยุดการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มโอเปกเลยก็เป็นได้
ถ้ารัสเซียตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์กับกลุ่มโอเปกจริงเชื่อว่าจะมีอีกหลายๆ ประเทศที่ถอนตัวจากโอเปกด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้โอเปกอาจจะไม่สามารถเซ็นสัญญาลงนามทำข้อตกลงกับใครได้เลยถ้าไม่มีรัสเซียคอยช่วยออกหน้าหรือมีส่วนร่วมด้วย การถอนตัวออกจากโอเปกของประเทศพันธมิตรเหล่านี้จะทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญแน่นอนและจะยิ่งเป็นการลดอำนาจบทบาทของโอเปกในตลาดน้ำมันโลกลงไปอีก
ผลกระทบอีกประการถ้าหากจีนสามารถหาพลังงานทดแทนมาใช้ได้จริงและลดการนำเข้าน้ำมันก็คือประเทศผู้ส่งน้ำมันให้กับประเทศจีนอย่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะได้รับผลกระทบก่อนเมื่อลูกค้าอันดับต้นๆ ของพวกเขาหายไป นอกจากสองประเทศนี้แล้วสหรัฐฯ เองก็จะได้รับผลกระทบด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจีนจะมีอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ ได้มากยิ่งขึ้น
4. การเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกา
ในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญเพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ผู้นำจากพรรคริพับลิกันจะต้องลงป้องกันตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างเดโมแครตอีกครั้ง
สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปที่จะบอกได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งขึ้นมาจะมีความเป็นไปได้เกิดขึ้นสองแบบ ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้นเพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตจะสั่งให้มีการลดกำลังการผลิตน้ำมันลดลง สาเหตุเพราะผู้ลงสมัครของพรรคนี้ส่วนใหญ่มีนโยบายหาเสียงที่เกี่ยวกับข้องการลดการใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
แต่ถ้ามองในอีกทางหนึ่งก็สามารถคิดได้ว่านโยบายที่ทรัมป์ใช้มาตลอดระยะเวลา 4 ปีช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีการเติบโตขึ้นจริงและอาจทำให้การชนะการเลือกตั้งของพรรคฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นสัญญาณลบของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้ ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์สามารถรักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอาไว้ได้อีกสมัยเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะคงที่