ถ้าทางโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครตชนะ ราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงได้ แต่ถ้าทางทรัมป์ชนะเป็นสมัยที่สอง ราคาน่าจะ…
เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 75 วันก็จะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแล้ว และไม่ว่าทางทรัมป์จะพยายามใช้นโยบายต่างๆเข้ากดดันทางจีนและเร่งช่วยคนตกงานจากไวรัสโควิดมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนคะแนนความนิยมของเขายังคงไม่กระเตื้องขึ้นและยังเป็นรองทางโจ ไบเดนอยู่สูงถึงเฉลี่ยที่ 52 ต่อ 42 จุดอยู่ในโพลเลือกตั้งล่าสุด (แนบในคอมเม้นท์)
อย่างไรก็ตาม #อย่าเพิ่งฟันธงไปว่าทรัมป์จะหมดหนทางชนะ เพราะในการเลือกตั้งครั้งก่อนคะแนนโพลของทรัมป์ก็เป็นรองทางฮิลลารี คลินตันอยู่ด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะพลิกกลับมาชนะ และทรัมป์ก็คงยังพยายามงัดทุกกลยุทธ์ของเขาออกมาใช้ในช่วงเวลาที่เหลือนี้อย่างเข้มข้น
วันนี้เราจึงจะมาวิเคราะห์กันดูว่าหากฝั่งไหนชนะการเลือกตั้ง นโยบายของแต่ละฝั่งจะมีผลกระทบต่อ ราคาน้ำมันดิบ โลกอย่างไร
หากจะ #สรุปสั้นๆ คือ นโยบายของทางพรรคเดโมแครตและไบเดนนั้นมีแนวโน้มที่จะกดดันราคาน้ำมันลง แต่ถ้าหากทรัมป์ชนะด้านนโยบายอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ราคาน้ำมันอาจปรับตัวสูงขึ้นได้และที่แน่ๆคือ #จะมีความผันผวนสูงขึ้นอย่างแน่นอน
นโยบายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของ 2 พรรคนั้นมีอยู่ 2 อย่างหลักๆด้วยกัน
1. #นโยบายเรื่องพลังงานสะอาด
ไบเดนนั้นเน้นเรื่องนโยบายพลังงานสะอาดมากกว่าทรัมป์เยอะ ทางทรัมป์นั้นจะเน้นช่วยดูแลเหล่าธุรกิจขุดเจาะน้ำมันในประเทศมากกว่า
หากทางไบเดนชนะ เราอาจเห็นนโยบาย CAFE Standard หรือมาตรฐานการประหยัดนํ้ามันรถกลับมาอีกครั้ง เหมือนในช่วงสมัยของรัฐบาลโอบามา โดยนโยบายนี้จะเร่งทำให้รถยนต์ที่ผลิตและจำหน่ายในสหรัฐต้องเพิ่มระดับการประหยัดน้ำมันเป็น 54.5 ไมล์ต่อแกลลอน (เทียบเท่า 23.2 กิโลเมตรต่อลิตร) ภายในปี 2025 ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินในสหรัฐอาจลดลงอย่างมหาศาล
อีกทั้งไบเดน ยังอาจสนับสนุนพลังงานทดแทนอื่นๆมากกว่าการเน้นขุดเจาะน้ำมันเชลออยล์ และปริมาณอุปทานจากพลังงานทดแทนที่เติบโตขึ้นก็จะเข้ามากดดันราคาน้ำมันอีกทาง
2. #นโยบายการเมืองระหว่างประเทศ
เมื่อปีที่แล้วทางทรัมป์ได้ฉีกสัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทางโอบามาและอีก 6 ชาติมหาอำนาจได้ทำไว้กับอิหร่าน โดยกล่าวว่าอิหร่านนั้นทำผิดข้อตกลงและได้พยายามทำการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และทางรัฐบาลทรัมป์จึงได้ทำการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบ และทำให้มีน้ำมันหายออกไปจากตลาดมากถึงกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (2% ของความต้องการใช้ของโลก)
หากทางทางไบเดนชนะ เราอาจเห็นสหรัฐเริ่มผ่อนผันนโยบายคว่ำบาตรต่ออิหร่านได้ สานต่อจากที่โอบามาและพรรคเดโมแคตรตเคยทำมาก่อน จึงอาจทำให้มีน้ำมันไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดอีกครั้ง
แต่ถ้าทางทรัมป์ชนะ ทรัมป์คงกลับมากดดันอิหร่านมากขึ้นอีกครั้ง และหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงอย่างเมื่อช่วงต้นปีที่ทางสหรัฐและอิหร่านเกือบรบกัน เราก็เห็นกันมาแล้วว่าราคาน้ำมันสามารถดีดทะลุไปถึง 80 เหรียญได้อยู่ตลอดเวลา #ทำให้ราคาน้ำมันจะมีความผันผวนมากขึ้นแน่ๆ
อีกทั้งการคว่ำบาตรของสหรัฐต่อเวเนซุเอลาอาจได้รับการผ่อนผันจากพรรคเดโมแคตรตได้เช่นกัน ทำให้อาจมีน้ำมันอีกกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (1% ของความต้องการใช้ของโลก) ไหลออกมาสู่ตลาดอีกเช่นเดียวกัน
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แนวโน้มของราคาน้ำมันจะต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงหากว่าฝั่งไหนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเราฝาก Like และ Share เป็นกำลังใจให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์ ขอบคุณมากๆครับ
#ทันโลกกับTraderKP
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP