หลังจากที่สหรัฐฯ และจีนประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะกลับมาเจรจาทางการค้ากันใหม่อีกครั้งในเดือนตุลาคมก็ทำให้ตลาดเริ่มมีความหวังว่าสงครามการค้าที่ยืดเยื้อนี้จะเริ่มมีความคืบหน้าที่ดีเกิดขึ้นได้บ้าง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สภาวะเศรษฐกิจของยุโรปที่กำลังเริ่มชะลอตัว รวมทั้งสถานการณ์ Brexit ที่ยังสับสนอลหม่านต่างก็เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้หุ้นดิ่งลงในเดือนที่ผ่านมาทั้งสิ้น
แต่ความหวังครั้งใหม่ในเดือนกันยายนก็ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นให้เห็นจาก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ของสหรัฐฯ ที่ยังเดินหน้าได้ต่อไป รวมทั้ง อัตราการว่างงาน ที่ลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี และ ธุรกิจในภาคบริการ ก็เริ่มมีการขยายตัวขึ้นได้จึงทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดไปได้บ้าง
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็อาจยังมีไม่แน่นอนเกิดขึ้นในระยะสั้นได้เช่นกัน หุ้นทั้ง 3 ตัวต่อไปนี้อาจเกิดการเคลื่อนไหวหลังการประกาศผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้
1. Broadcom
บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่กำลังจะ ประกาศผลประกอบการ ประจำไตรมาสออกมาคือ Broadcom (NASDAQ:AVGO) โดยจะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ปี 2019 ออกมาในวันที่ 12 กันยายนหลังปิดตลาด มีการคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรอยู่ที่ $5.14 ต่อหุ้น และมีรายได้ที่ 5.44 พันล้านเหรียญ
กราฟราคาหุ้น AVGO รายสัปดาห์ในช่วง 12 เดือนล่าสุด
การกลับตัวเป็นขาลงของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในครั้งล่าสุดนี้ส่งผลกระทบกับผู้ผลิตชิปบางรายอย่างหนัก แต่สำหรับ Broadcom แล้วบริษัทยังคงทนทานต่อสถานการณ์ที่ยากลำบากมาได้ค่อนข้างดี หุ้นของบริษัทปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ระดับ $291.91 สูงขึ้นจากปีที่แล้วราว 26% ในขณะที่ ดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 15% เท่านั้น
สิ่งที่ทำให้นักลงทุนสนใจในหุ้นของ Broadcom เป็นอย่างมากก็คือกลยุทธ์ของบริษัทที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจากแนวคิดของกรรมการบริหารอย่างนายฮ็อค แทน ซึ่งมีความคิดที่ต้องการขยายการเติบโตของบริษัทด้วยการเข้าควบรวมและซื้อบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่กำลังขัดสนแต่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เมื่อเดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศ ว่าจะควบรวมกับกิจการของ Symantec Corporation's (NASDAQ:SYMC) ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ทางด้านการรักษาความปลอดภัยและป้องกันแฮ็คเกอร์สำหรับองค์กรด้วยมูลค่า 1 หมื่นล้านเหรียญ
การควบรวมกิจการดังกล่าวทำให้ Broadcom กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ หลังจากที่ได้เข้าซื้อกิจการของ CA Technologies เมื่อปีที่แล้วไปในมูลค่า 19,000 ล้านเหรียญ การตกลงเข้าซื้อกิจการทั้งสองแห่งดังกล่าวจะทำให้ยอดขายมากกว่า 80% ของ Broadcom มาจากหน่วยธุรกิจระบบคลาวด์ ระบบเครือข่าย ซอฟต์แวร์ และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีความมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
2. Kroger
บริษัทซุปเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่อย่าง Kroger (NYSE:KR) จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองออกมาในช่วงก่อนเปิดตลาดวันพฤหัสบดีนี้เช่นกัน นักวิเคราะห์คาดเอาไว้ว่าบริษัทจะทำกำไรได้ $0.41 ต่อหุ้นสำหรับไตรมาสที่สุดสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน และมียอดขาย 28,400 ล้านเหรียญ
กราฟหุ้น KR รายสัปดาห์ในช่วง 12 เดือนล่าสุด
ในช่วงปีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัท Kroger ปรับตัวลดลงไป 24% เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่า Walmart (NYSE:WMT) และคู่แข่งรายอื่นๆ จะแย่งส่วนแบ่งตลาดไปจากบริษัทที่ก่อตั้งในเมืองซินซินนาติแห่งนี้ซึ่งกำลังประสบปัญหาในการปรับใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะตลาดในสถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูงเช่นในปัจจุบันได้
ในช่วง ไตรมาสแรก นั้น ยอดขายประจำสาขาลดต่ำลงกว่าที่มีการคาดการณ์เอาไว้ รวมทั้งบริษัทมีกำไรลดลงเนื่องจากบริษัทต้องนำไปลงทุนเพื่อรักษาระดับการแข่งขันเอาไว้ ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ Home Chef ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารชุด นอกจากนั้นยังขยายธุรกิจไปร่วมทุนกับ Instacart บริษัทที่ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าอุปโภคให้กับลูกค้าในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ ได้ภายในเวลาเพียงวันเดียว
3. Aurora Cannabis
Aurora Cannabis (NYSE:ACB) และ (TSX:ACB) บริษัทผู้ผลิตกัญชาที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกรายนี้จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ออกมาในวันพุธที่ 11 กันยายนนี้ในช่วงหลังปิดตลาด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะขาดทุนอยู่ที่ $0.04 ต่อหุ้นและมียอดขายอยู่ที่ 81.56 ล้านเหรียญ
กราฟหุ้น ACB รายสัปดาห์ในช่วง 12 เดือนล่าสุด
เมื่อเดือนที่ผ่านมา Aurora กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ที่จะออกจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่สี่นั้นจะพุ่งสูงขึ้นติดขอบบนของตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้หรืออาจจะทะลุเกินขึ้นไปได้ด้วยซ้ำ บริษัทจากเมืองเอ็ดมอนตันแห่งนี้คาดว่าจะมีรายได้ทั้งหมดรวมอยู่ระหว่าง 100-107 ล้านเหรียญ แต่ไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมี ผลประกอบการในไตรมาสที่สี่ อยู่ที่เท่าใด
บริษัทผู้ผลิตกัญหารายนี้เริ่มได้รับการจับตามองมากขึ้นเนื่องจากยังไม่สามารถทำกำไรได้แม้ว่าแคนาดาจะอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้วก็ตาม หุ้นของบริษัทมีการซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ $6 ต่อหุ้น โดยมูลค่าหุ้นในปีนี้ลดลงไปแล้วมากกว่า 20% ในขณะที่ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมก็เกิดการเทขายออกมาอย่างหนักเช่นกันจนทำให้หุ้นของบริษัทผู้ผลิตกัญชาหลายรายดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
Aurora ดำเนินกิจการอยู่ใน 21 ประเทศโดยส่วนใหญ่อยู่ในสหภาพยุโรป บริษัทประกาศออกมาเมื่อต้นปีนี้ว่านักลงทุนมหาเศรษฐีอย่างนายเนลสัน เพลท์ส จะเข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ให้กับบริษัท Aurora ในเร็วๆ นี้