หลังจากที่สามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นตัวเลขถึงสองหลักในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 กำลังส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้อีกครั้ง รวมทั้งรูปแบบกรอบราคาแบบอ้าออกซึ่งไม่ค่อยจะมีให้เห็นได้บ่อยกำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งหากรูปแบบนี้สมบูรณ์เมื่อไหร่ โอกาสที่ตลาดจะเป็นขาลงก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อวานนี้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงเป็นวันที่สอง 0.65% โดยในระหว่างสองวันนี้ปรับลดลงไปทั้งสิ้นเพียงไม่ถึง 1.00% กลุ่มอุตสาหกรรมโรงงาน (-2.14%) ยังทำผลงานได้ไม่ดีหลังจากที่หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรางรถไฟอย่าง CSX (NASDAQ:CSX) ร่วงลงไป 10% ไปอยู่ในช่วงแนวโน้มขาลงเนื่องจากตัวเลขยอดขายที่คาดการณ์น้อยลง ดัชนี S&P 500 ไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากหุ้นของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงงานเท่านั้น แต่หุ้นในกลุ่มอื่นๆ ก็ปรับตัวไปอยู่ในแดนลบกันหมด ยกเว้นแค่เพียงกลุ่มสาธารณูปโภค (+0.38%) และกลุ่มสุขภาพ (+0.02%) เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ หุ้นของ CSX เคยเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยมมาโดยตลอด โดยสามารถดีดตัวขึ้นมาภายในปีเดียวกันได้เกือบ 30% และทำผลงานได้สูงกว่าดัชนี ดาวโจนส์ด้านการคมนาคม ที่อยู่ในระดับ 21% ได้ การที่ราคาหุ้นและปริมาณยอดขายที่คาดการณ์ลดลงนั้นเกิดจากความต้องการซื้อที่ลดลงอย่างฮวบฮาบในช่วงที่มีสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
แล้วความต้องการซื้อจะยังลดลงอีกไหม? เมื่อพิจารณาจากกราฟ เราจะเห็นทิศทางของระดับราคาที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ดัชนี S&P 500 ได้ทำรูปแบบ evening star อย่างสมบูรณ์แล้ว โดยมีแท่งเทียนสามแท่งทำรูปแบบเป็น top และการเทขายออกในวันพุธที่ผ่านมาได้ลบล้างเส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ลากมาจากวันที่ 3 มิถุนายนไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้มีโอกาสที่น่าจะเกิดการกลับตัวระยะสั้นมีสูงขึ้น รวมทั้งอาจทำรูปแบบ peak และ trough ขาลงได้สมบูรณ์อีกด้วย
MACD ยังคงส่งสัญญาณขายเมื่อเส้น MA ระยะสั้นร่วงลงไปอยู่ต่ำกว่าเส้น MA ระยะยาว เนื่องจากระดับราคาในปัจจุบันอ่อนลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาว
เส้น RSI ได้ทำรูปแบบ double top สำเร็จและปรับลดลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าต่ำสุดของเดือนกรกฎาคม และอาจจะกำลังทำรูปแบบ triple top ต่อ โดยอาจปรับลดลงไปต่ำกว่าค่าต่ำสุดของเดือนมิถุนายนอีกก็ได้ ซึ่งเป็นการชี้ว่าราคาก็น่าจะมีทิศทางเช่นเดียวกัน
แม้สัญญาณข้างต้นดังกล่าวจะทำให้ดูเหมือนว่าอนาคตในระยะสั้นนี้จะยังมืดมัว แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดการปรับฐานในระยะยาวได้ หากมีรูปแบบที่ใหญ่กว่านี้ปรากฏขึ้น
เมื่อถอยออกมามองภาพรวมที่ใหญ่ขึ้นจะเห็นว่ามีรูปแบบกรอบราคาแบบอ้าออกปรากฏให้เห็น บางคนอาจคิดว่าตำแหน่งของการเกิด evening star น่าจะสำคัญกว่ารูปแบบของมันเองด้วยซ้ำไป การเคลื่อนไหวของราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้ขอบเขตบนของกรอบราคานั้นทำให้มีโอกาสที่จะเกิดการปรับตัวเป็นขาลงได้มากขึ้น โดยยิ่งเข้าใกล้ขอบเขตบนมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นสัญญาณว่าจะเกิดการเทขายได้มากขึ้นเท่านั้น
ลักษณะกรอบราคาที่อ้าออกคือการมี peak ที่สูงขึ้น และ trough ที่ต่ำลงอยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ขัดแย้งกันในโครงสร้างของตลาด หากนักลงทุนเชื่อว่าจะมีการเติบโตในระยะยาวได้ก็ควรจะเข้าหนุนให้ราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้ราคาสูงสุดปรับสูงขึ้นไปอีกได้เพื่อให้เกิดเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวได้ แต่หากเห็นว่าบริษัทน่าจะทำกำไรได้น้อยลงก็ให้ขายออกในขณะที่หุ้นกำลังฟื้นตัวเพื่อให้ราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดตัวใหม่ลดต่ำลงกว่าเดิม
โครงสร้างราคาที่ย้อนแย้งเช่นนี้ทำให้ตลาดไม่มีผู้นำที่ชัดเจน เนื่องจากนักลงทุนไม่มีกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้อย่างเหมาะสมได้ ดังนั้นการเกิดรูปแบบเช่นนี้ถือว่าเป็นรูปแบบตลาดขาลงที่เกิดขึ้นในระดับราคาสูงสุด แต่จะถือว่าเป็นขาลงจริงๆ ได้ก็ต่อเมื่อมีการปรับตัวลงไปทะลุกรอบราคาขอบล่างแล้วเท่านั้น
ข้อควรระวัง: เส้นแนวโน้มเป็นสิ่งที่มีความละเอียดอ่อน ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องมีประสบการณ์และทักษะในการอ่านค่าอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อกรอบราคามีการเปลี่ยนแปลงไปตามเส้นแนวโน้มและถ่างออกจากกัน จึงเป็นการยากที่จะหาจุดสิ้นสุดหรือจุดที่รูปแบบนี้จะสมบูรณ์ และแม้ว่าจะหาเจอแล้วก็ยังต้องใช้ประสบการณ์อย่างมากที่จะทราบได้ว่าทิศทางการซื้อขายหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตาม เราจะพยายามช่วยวิเคราะห์ทิศทางเพื่อช่วยเหลือคุณให้ได้มากที่สุด
ข้อควรระวังอีกประการหนึ่งก็คือ เส้น RSI รายสัปดาห์ได้ส่งสัญญาณ negative divergence อย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละจุด peak ของ RSI มีระดับลดต่ำลงเรื่อยๆ สวนทางกันกับ peak ที่เพิ่มขึ้นของระดับราคา โดยจุด peak ของ RSI ล่าสุดไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของรูปแบบกรอบราคาที่อ้าออก แม้ว่าจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดไปแล้วก็ตาม หากเส้น RSI ลงไปต่ำกว่าค่าต่ำสุดของเดือนมิถุนายนได้ก่อนราคา อาจเป็นการชี้ให้เตรียมตัวรับการปรับฐาน
กลยุทธ์การซื้อขาย
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ควรรอให้เกิดรูปแบบที่สมบูรณ์ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการรอจนกว่าราคาจะปรับตัวลงไปทะลุแนวรับของกรอบราคาที่อ้าออก โดยอาจต้องรออีกนานพอสมควรจนกว่าราคาจะลงไปถึงระดับ 2,000 แล้วจึงเปิดสถานะ short หรือจะรอให้ราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปที่เหนือระดับ 3,100 (เมื่อพิจารณาจากองศาในปัจจุบัน) แล้วจึงเปิดสถานะ long ก็ได้
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจเปิดสถานะ short ได้หลังจากที่เห็นว่าเส้นแนวโน้มระยะสั้นเริ่มทำรูปแบบ peak และ trough ขาลง
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจเปิดสถานะ short ได้ทันที โดยพิจารณาจากการเกิด evening star ที่ระดับต่ำกว่าจุดสูงสุดของกรอบราคาที่อ้าออกนี้ และอาจใช้ตัวชี้วัดตลาดขาลงอื่นๆ ร่วมด้วยก็ได้
หมายเหตุ: หากนักลงทุนเลือกเปิดสถานะ short ในขณะนี้ โปรดทราบว่าราคาอาจมีการขึ้นไปทดสอบแนวต้านอีกครั้งได้ จึงควรยอมรับว่าอาจต้องถูกบังคับให้ปิดสถานะหรือยอมปิดสถานะในจุด stop-loss ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียได้ แต่หากนักลงทุนเลือกที่จะรอให้ราคาเป็นขาขึ้น ก็อาจเสียโอกาสที่จะเปิดสถานะ short ได้เช่นกัน ดังนั้นการวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ตัวอย่างการซื้อขาย
แบบทันที
-
ราคาเข้า: 2,985
-
Stop-Loss: 3,020 เหนือจุด peak
-
ความเสี่ยง: 35 จุด
-
เป้าหมาย: 2,880
-
ผลตอบแทน: 105 จุด
-
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3
กรณีที่มีการเคลื่อนไหวของราคาสูงขึ้น
-
ราคาเข้า: 3,000
-
Stop-Loss: 3,020 เหนือจุด peak
-
ความเสี่ยง: 20 จุด
-
เป้าหมาย: 2,940
-
ผลตอบแทน; 60 จุด
-
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3