นักลงทุนรุ่นใหม่มองหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางและสินทรัพย์ดิจิทัล “บิทคอยน์” เป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2567 จากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เข้าสู่แนวโน้มผ่อนคลาย ด้านทองคำและหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ยังสามารถเทรดทำกำไรได้ ส่วนสินทรัพย์อื่นที่ต้องจับตา คือตลาดหุ้นจีน เวียดนาม และตลาดหุ้นไทย
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า มองภาพใหญ่ของการลงทุนในปี 2567 จะเป็นปีที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) เข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย หลังจากที่แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลงและตลาดกำลังมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2567 จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มเห็นในช่วงกลางปีหน้าเป็นต้นไป
ประกอบกับบทวิเคราะห์จากสำนักวิจัยเศรษฐกิจต่าง ๆ มองไปในทิศทางเดียวกันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสจะลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ตลาดการลงทุนมีสภาพคล่องกลับเข้ามาอีกครั้ง และเม็ดเงินฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับมายังสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น หลังจากที่ในปี 2566 เม็ดเงินฟันด์โฟลว์ไหลไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงมากกว่า
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนในส่วนของเศรษฐกิจที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ และกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นสูงในปีนี้ แม้จะยังมีปัจจัยบวกหนุนจากกระแสของเอไอ แต่อัพไซด์อาจจะเริ่มจำกัดแล้ว จึงมองว่าหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่อยู่ในขาลงมากว่าสองปี มีโอกาสจะกลับมา Outperform ได้
“หุ้นเทคโนโลยีที่เป็น Growth Stock เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ถ้าสภาพคล่องเริ่มกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยง มีโอกาสสูงที่หุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาจากปัจจัยพื้นฐาน และงบการเงินที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจบลงและราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพราะปรับฐานมากว่าสองปีแล้ว และขณะนี้ราคาหุ้นเริ่มไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่แล้ว”
นอกจากนี้ ราคากองทุนรวม ETF ในกลุ่มของ ARK Invest ซึ่งลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กปรับตัวขึ้นแรงตลอดเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา บ่งบอกว่าเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่ม Growth Stock แล้ว การที่มีอัพไซด์ค่อนข้างมากและได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์ที่กลับมา มองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่สามารถเทรดระยะสั้นถึงกลางได้ รวมถึงหุ้นกลุ่มมูลค่าในสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอย
ขณะที่ สินทรัพย์ดิจิทัล “บิทคอยน์” จะเป็นอีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยหนุนจากการเกิด Bitcoin Halving ซึ่งทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้ราคาบิทคอยน์จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ รวมถึงการมาของ Bitcoin ETF ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์มากขึ้น
ทั้งนี้ มองบิทคอยน์ที่ราคาเหนือระดับ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่ารับกับข่าวการตั้ง Bitcoin ETF มาแล้วพอสมควร ทำให้มีโอกาสสูงที่ราคาจะย่อตัวลง หลังจากมีการประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ โดยประเมินแนวรับต่ำสุดไม่น่าจะต่ำกว่า 28,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถที่จะทยอยสะสมได้ และสามารถถือลงทุนได้ตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ส่วน Altcoin อื่น ๆ ยังไม่สามารถที่จะประเมินได้อาจจะต้องรอจนกว่าจะเห็นความชัดเจนว่าธีมการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะปรับตามเทคโนโลยีใด
ส่วน “ทองคำ” ถือว่าได้รับประโยชน์จากการที่นโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย และธนาคารกลางของแต่ละประเทศ เริ่มทยอยสะสมทองคำเพื่อเตรียมรับความเสี่ยงทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้มีแนวโน้มสูงที่ทองคำจะเป็นขาขึ้นในปี 2567 อย่างไรก็ตามการที่ราคาขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้วในปีนี้ประเมินว่าอัพไซด์ที่จะเกิดขึ้นอาจอยู่ในระดับประมาณ 10% โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 2,360 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นายณพวีร์ กล่าวว่า ในปี 2567 ยังมีสินทรัพย์ที่ต้องจับตาตามสถานการณ์ ได้แก่ หลังจากที่เป็นขาลงมาตลอดทั้งปี 2566 และมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยในปีหน้า ตลาดหุ้นจีน มีโอกาสจะเป็นทั้งขาขึ้นและเป็นขาลงต่อได้ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจีนจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีพอที่จะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นหรือไม่ ซึ่งหากตลาดหุ้นจีนกลับตัวเป็นขาขึ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงเสมอ แต่ตอนนี้ยังคงมีความเสี่ยงที่ไม่ชัดเจนเช่นกัน
ทางด้าน ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุนเสมอ แต่ด้วยความผันผวนของตลาดทำให้การถือลงทุนระยะยาวอาจมีความเสี่ยง จึงแนะนำให้จับจังหวะซื้อขายเป็นระยะ ๆ โดยหากดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงมาประมาณ 10-15% สามารถใช้เป็นโอกาสลงทุนได้
ขณะที่ มองว่าการลงทุนระยะสั้นตอนนี้ยังไม่น่าสนใจ แต่หากตลาดมีการปรับตัวลงมาในระดับ 1,200 จุด ในช่วงกลางปี มองเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนระยะยาว จากการที่มีหุ้นพื้นฐานดีหลายตัวลงมาในระดับที่แวลูเอชั่นน่าสนใจ แต่อัพไซด์ในปีหน้าอาจจะยังไม่สูงมาก โดยคาดหวังในระดับ 10%
“ภาพรวมของการลงทุนปี 2567 ถือว่ามีหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ แต่ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยตลอดจนการเมืองระหว่างประเทศ”