รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

สรุปภาพรวมตลาดลงทุนสหรัฐฯ ประจำเดือนพฤษภาคม

เผยแพร่ 02/06/2565 14:29
อัพเดท 02/09/2563 13:05

ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ ว่าเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่สามารถสรุปได้ดีที่สุดก็คือขาลงจากจุดสูงสุดในเดือนมกราคมมาจากถึงวันที่ 20 พฤษภาคมของดัชนีเอสแอนด์พี 500นั้น คืดเป็นขาลงเกือบ 21% คำว่า “Sell in May” ยังคงใช้ได้ดีในเดือนที่ผ่านมา ทำให้นึกถึงภาพขาลงเมื่อสองปีก่อน ก่อนที่โควิดจะเข้า ซึ่งตอนนั้นเอสแอนด์พี 500 ได้ปรับตัวลดลงมามากถึง 35% ภายในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือน

แต่ในโชคร้ายก็ถือว่ายังมีโชคดี เพราะหลังจากสร้างจุดต่ำสุดในวันที่ 20 พฤษภาคมไป ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ ก็สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้หมด จบสถิติขาลงเจ็บสัปดาห์ติดต่อกันของเอสแอนด์พี 500 และขาลงแปดสัปดาห์ติดของดัชนีแนสแด็กและดาวโจนส์ ก่อนที่จะมาเริ่มปรับตัวลดลงอีกครั้งหลังวันทหารผ่านศึก ในวันที่ 31 พฤษภาคมเอสแอนด์พีและดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 0.63% และ 0.67% ตามลำดับ ในขณะที่แนสแด็กปิดติดลบ 0.4% จบเดือนพฤษภาคมด้วยการปรับตัวลดลงทั้งหมด 2% และคิดเป็นการปรับตัวลดลงมา 22.8% ตลอดทั้งปี 2022COMPQ 300 Minute Chart

ถ้าจะถามว่าแล้วต่อจากนี้หรือในเดือนนี้ควรลงทุนเช่นไรต่อไป? คำแนะนำของเราคือ “การหยุดและเฝ้าดูคือกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้”

นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 เป็นต้นมา ดัชนีหลักของสหรัฐฯ ก็ได้ปรับตัวลดลงอย่างไม่หยุดหย่อน เอสแอนด์พี 500 และดาวโจนส์ปรับตัวลดลงมาตลอดในสามจากห้าเดือนทั้งหมด แนสแด็กลงมาสี่เดือน และเดือนเมษายนก็ถือว่าเป็นขาลงมากที่สุดของดัชนีทั้งสาม ปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักในปีนี้ประกอบไปด้วย

- เศรษฐกิจภายในและต่างประเทศยังได้รับผลกระทบจากโรคระบาด
- เงินเฟ้อที่หนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 1980 ที่ทำได้แค่เชื่อมั่นว่าเฟดจะแก้ไขปัญหานี้ได้
- สงครามระหว่างรัสเซียยูเครน
- ความตึงเครียดทางการเมืองในสหรัฐฯ
- ตลาดที่ยังคงมีมูลค่าสูงมากเกินไป

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกล้วนส่งผลกระทบถึงกัน

โควิดได้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่สามารถกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างง่ายดายจนทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นทั่วโลก ในเดือนพฤษภาคม จีนจำเป็นต้องปิดเมืองหลายเมือง โดยเฉพาะเซี่ยงไฮ้ ถึงกระนั้น การรักษาตัวในโรงพยาบาลก็เพิ่มสูงขึ้น และมีการเรียกร้องให้สวมหน้ากากในที่สาธารณะและในพื้นที่ปิดอีกครั้ง แต่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในปีนี้กำลังลดลง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเงินเฟ้อก็เริ่มต้นขึ้นด้วยโควิด ทำให้ซัพพลายเชนทั่วโลกหยุดชะงัก ทำให้การส่งสินค้าจากจุด A ไปยังจุด B ใช้เวลานานและมีราคาแพงกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อกลับมาเปิดเมืองเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจอีกครั้งจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ที่มาพร้อมกับสงครามระหว่างรัสเซียยูเครน

ผลกระทบจากความยุ่งเหยิงนี้ได้ทำให้ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ WTI ปรับตัวขึ้น 10% ในขณะที่ เบรนท์ทะเลเหนือขยับขึ้นเกือบ 13% ทั้งคู่ปิดเดือนพฤษภาคมด้วยราคาน้ำมันที่วิ่งอยู่ประมาณ $115 ต่อบาร์เรล ข้อมูลจากสมาคมยานยนต์อเมริกา (AAA) ระบุว่าราคาน้ำมันรายวันตามปั้มในอเมริกาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 41% เฉพาะในปี 2022

ด้วยเหตุนี้การกระทำของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 0.00% - 0.25% มานานเกือบสองปีเต็มถูกมองว่าเป้นความประมาท ความชะล่าใจของเฟดในการสกัดเงินเฟ้อ และเพื่อกลบกระแสนั้น ปีนี้เฟดจึงต้องมาในบทบาทใหม่ ทำนโยบายการเงินแบบดุดัน รีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.25% ในเดือนมีนาคม ได้ขยับมาเป็น 0.50% ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา และคาดว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตรานี้ต่อไปอีกในการประชุมช่วงกลางเดือนนี้ ณ ตอนนี้เฟดจะเริ่มขายพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมหาศาล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความกดดันให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น 

การรุกรานยูเครนของรัสเซียทำให้เกิดปัญหาสองประการ หนึ่งคือวิกฤตด้านมนุษยธรรมในยุโรปตะวันออกเมื่อชาวยูเครนหลายล้านคนหนีไปที่อื่น ตลาดเกษตรทั่วโลกหยุดชะงักเนื่องจากทั้งรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตเกษตรรายใหญ่ ความขัดแย้งส่งผลกระทบต่ออุปทานข้าวสาลี เมล็ดทานตะวัน และสินค้าที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบของส่งครามสามารถเห็นได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตทุกแห่ง ตอนนี้คุณลองไปถามบรรดาคุณแม่ของทารกแรกเกิดได้เลยว่าการหาวัตถุดิบตามสูตรอาหารสำหรับทารกนั้นยากเพียงใด

ความตึงเครียดทางการเมืองอาจเพิ่มขึ้นอีกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ จะมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงกลางเทอม

เรายกประเด็นเรื่องที่ราคาหุ้นในตลาดยังอยู่สูง เพราะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2020 เพื่อรักษาเศรษฐกิจโลกทำให้เกิดการเก็งกำไรในหุ้น สกุลเงินดิจิทัล บ้าน เฟอร์นิเจอร์ ศิลปะ และอื่นๆ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และแผนลดงบดุลคือการตัดท่อน้ำเลี้ยงในการลงทุนกับสินทรัพย์เหล่านี้

หุ้นส่วนใหญ่ต่างพ่ายแพ้ในเดือนพฤษภาคม

หุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดของดัชนีดาวโจนส์ในเดือนพฤษภาคมคือหุ้นของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ Walmart (NYSE:WMT) ตลอดทั้งปี 2022 หุ้นตัวนี้ได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 11.1% TGT 300 Minute Chart

คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Target (NYSE:TGT) ก็ปรับตัวลดลง 29.2% จากต้นทุนค่าขนส่งที่แพงขึ้น และการลงทุนในพื้นที่เก็บสินค้าในเวลาที่ไม่ถูกไม่ควร แม้กระทั่งบริษัทที่ได้ชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งของการค้าปลีกโลกอย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN) ยังปรับตัวลดลง 16.7% 

แม้จะมีกระแสเป็นข่าวใหญ่โตเกี่ยวกับการการซื้อบริษัท Twitter (NYSE:TWTR) (ที่ปีนี้ราคาหุ้นปรับตัวลง 19.2%) ของอีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัท Tesla (NASDAQ:TSLA) แต่การเทขายหุ้นในกลุ่มเทคฯ ก็ทำให้หุ้นเทสลาในปีนี้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 30% ในขณะเดียวกัน บริษัท Meta Platforms (NASDAQ:FB) บริษัทแม่ของแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กได้ปรับตัวลดลงมา 3.4% ถือว่าน้อยกว่าเดิมเมื่อเทียบกับเดือนเมษายนที่ปรับตัวลดลง 10% แต่ในภาพรวมแล้ว ตลอดทั้งปี 2022 ถือว่าหุ้นเมต้าปรับตัวลดลงมาทั้งหมด 42%

ข้อมูลน่าสนใจจาก Renaissance Capital ระบุว่าบริษัท Startups และการเปิดขายหุ้นสู่สาธารณะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มีเพียง 8 บริษัทเท่านั้นที่สามารถเปิด IPO ได้ในเดือนพฤษภาคม ลดลงจาก 23 บริษัทในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และถ้านับตั้งแต่ปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน มีเพียง 34 บริษัทเท่านั้นที่สามารถทำ IPO ได้ คิดเป้นอัตราส่วนถือว่าลดลง 80% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนว่านักลงทุนในตอนนี้ไม่สนใจที่จะลงทุนกับบริษัทเล็กๆ หรือมีโอกาสน้อยมากที่จะทำกำไรได้ARKK 300 Minute Chart

กองทุน ETF ชื่อดังที่เคยเป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกวันนี้ก็เงียบหายไป หนึ่งในนั้นคือกองทุน ARK Innovation (NYSE:ARKK) ของเคธี่ วู๊ด หุ้นที่กองทุนนี้ถือครองมากที่สุดคือหุ้นของบริษัทเทสลา Roku (NASDAQ:ROKU) และ Coinbase Global (NASDAQ:COIN) ซึ่งรวมๆ แล้ว ARKK ได้ปรับตัวลดลงมา 5.5% เฉพาะเดือนพฤษภาคม และปรับตัวลดลง 33% ในไตรมาสนี้ หากดูตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน ARKK ได้ร่วงลงมาแล้ว 54% และคิดเป็นขาลง 64% จากจุดสูงสุดตลอดกาลในวันที่ 30 มิถุนายน 2021 ที่ $132.50

สภาพของ ARKK คือภาพสะท้อนของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงตอนนี้ เพราะแม้แต่ราชาสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ก็ยังร่วงลง 17.2% ในเดือนพฤษภาคม ลงไปมีราคาซื้อขายในวันสุดท้ายก่อนปิดเดือนที่ $31,757 สร้างจุดต่ำสุดของปี 2022 เอาไว้ที่ $28,158 ตลอดทั้งปีนี้ บิทคอยน์ได้ร่วงลงมาแล้ว 31% และถ้านับจากจุดสูงสุดตลอดกาล ตอนนี้ถือว่าบิทคอยน์ได้ลงมาทั้งหมด 54%

 หุ้นผู้ชนะในเดือนพฤษภาคมกลับไม่ใช่หุ้นเทคฯ

แต่เดือนพฤษภาคมก็ไม่ได้เป็นเดือนที่แย่สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทุกสัปดาห์ เพราะสัปดาห์ที่แล้วดัชนีหลักๆ ก็ยังสามารถกลับมาปิดบวกได้ เอสแอนด์พี 500 และดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นภายในสัปดาห์เดียวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2020 ในขณะที่แนสแด็กปรับตัวขึ้น 8.2% เป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม

หุ้นกลุ่มที่ถือว่าเป็นผู้ชนะประจำเดือนพฤษภาคมไปเลยได้แก่หุ้นในกลุ่มพลังงาน ผูผลิตสินค้าเคมีภัณฑ์ เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร และสินค้าอุปโภคบริโภคALB 300 Minute Chart

บริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์เฉพาะทาง Albemarle (NYSE:ALB) ปรับตัวขึ้นในเดือนพฤษภาคมประมาณ 35% ตามมาด้วยบริษัทพลังงานอย่าง Devon Energy (NYSE:DVN) ที่ปิดบวก 28.8% อันดับสามตกเป็นของ Chevron (NYSE:CVX) ด้วยตัวเลข 11.5% จึงไม่แปลกใจที่กองทุน ETF น้ำมันอย่าง US Oil Fund (NYSE:USO) สามารถปรับตัวขึ้นปิด 10.8% ได้

ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น นอกจากเรื่องรัสเซียยูเครน ที่ลามมาถึงยุโรปในแง่ของการคว่ำบาตรแล้ว สหรัฐฯ ยีงต้องพยายามแก้ไขดึงกำลังการผลิตน้ำมันหลักกลับมาหลังจากการล็อกดาวน์โควิดให้ได้ ตอนนี้บริษัทผู้ผลิตพลังงานอิสระส่วนใหญ่ผลิตตามความต้องการของเหล่านักลงทุน เพื่อทำกำไรให้ได้่มากที่สุดเท่านั้น

เดือนมิถุนายนที่พึ่งจะมาถึงมีโอกาสรีบาวด์ได้ไหม?

การฟื้นตัวครั้งใหญ่ของสัปดาห์ที่แล้วมีนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญมากมายเช่น Jim Cramer ของ CNBC และ Larry Williams นักวิเคราะห์ทางเทคนิค เชื่อว่าตลาดหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดและกำลังจะดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจของอเมริกาจะแข็งแกร่งขึ้น อ้างอิงจากข้อมูลตัวเลขการจ้างงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในความเห้นผม ก็อาจจะใช่ แต่ยังคงมีอุปสรรคมากมายที่ต้องเผชิญกับตลาด

ปัญหาอันดับแรกคือเฟด แม้ว่าจะหวังให้พวกเขาขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างช้าๆ เพื่อไม่กระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นกำลังเริ่มลดความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวอเมริกัน

ปัญหาอันดับสอง แม้จะไม่ถูกเล่นเป็นข่าวแล้ว แต่สถานการณ์โควิดก็ยังคงต้องจับตา และความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข มีโอกาสที่จะลุกลามไปสู่สงครามยุโรปได้หากบีบคั้นรัสเซียมากจนเกินไป

สุดท้ายนี้ ตลาดหุ้นไม่ได้ส่งสัญญาณการรีบาวด์ออกมาเลย ดูดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ระหว่าง S&P 500, Dow และ NASDAQ กับอินดิเคเตอร์ RSI ที่ใช้วัดความเคลื่อนไหวของราคา ในเดือนมีนาคม 2009 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถึงจุดต่ำสุดเมื่อ RSI ของดัชนีทั้งสามปรับตัวตัวลดลงต่ำกว่า 30 จุด ก่อนการล่มสลายของตลาดในปี 2008 ขาขึ้นของตลาดในปีก่อนหน้านั้นได้ทำให้ค่า RSI ขึ้นสูงกว่า 70 จุด

ค่า RSI เคยถึงจุดสูงสุด 70 จุดในเดือนพฤศจิกายน 2021 และปรับตัวลดลงทันทีเมื่อเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ระหว่างการเทขายหุ้นในเดือนพฤษภาคม RSI อยู่เหนือระดับ 30 เล็กน้อย แม้ว่าวันที่ 20 พฤษภาคม จะเป็นวันที่ S&P 500 จะถูกเทขายอย่างหนักก็ตาม ถ้าจะให้ปรับตัวขึ้น สัญญาณแรกที่จะต้องเกิดในตลาดก่อนคือการทะยานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของดัชนี

 

ความคิดเห็นล่าสุด

REOKXOLFWQI
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย