เมื่อรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชื่อดังส่วนใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว ความสนใจของนักลงทุนในสัปดาห์นี้จึงจะหันไปอยู่ที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครน และมุมมองของบริษัทค้าปลีก ที่มีต่อการคาดการณ์ทิศทางตลาดในปี 2022 ทั้งในแง่ของการจัดการปัญหาเงินเฟ้อ และซัพพลายเชนขาดแคลน ซัพพลายเชนในที่นี้ยังรวมถึงการขาดแคลนแรงงานด้วย นักลงทุนต้องการทราบข้อมูลถึงผลกระทบที่มีต่อยอดค้าปลีก และราคาที่ปรับตัวขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเงินเฟ้อ อย่างที่ทราบกันไปในสัปดาห์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ว่าเงินเฟ้อของอเมริกาทะยานขึ้นสูงที่สุดในรอบ 40 ปี
ประเด็นที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ที่จะทำให้ตลาดลงทุนผันผวนอย่างแน่นอนคงจะหนีไม่พ้นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่สถานการณ์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มีแนวโน้มว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนและนายกรัฐมนตรีอังกฤษบอริส จอห์นสัน ต่างออกมาพูดในลักษณะเดียวกันว่ามีเหตุผลให้เชื่อว่ารัสเซียจะบุกยูเครนภายในสัปดาห์นี้แน่นอน กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนสามารถถูกโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้
ความตึงเครียดดังกล่าวทำให้ดัชนีหลักของอเมริกาอย่างดาวโจนส์ในวันพฤหัสบดีร่วงลงมากที่สุดในปี 2022 มากถึง 600 จุด ในขณะที่แนสแด็กปรับตัวลดลง 1.7% และเอสแอนด์พี 500 อีก 1.6% อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแห่งการรายงานผลประกอบการจะยังคงดำเนินต่อไป ในสัปดาห์นี้จะมีบริษัทใดบ้าง บทความนี้จะพาไปดู
1. Home Depot
บริษัทธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ‘โฮม ดีโป’ (NYSE:HD) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรในไตรมาสนี้ของโฮม ดีโปจะออกมาอยู่ที่ $34,830 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.17
ตั้งแต่ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2021 หุ้นของโฮม ดีโปได้ปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 17% จากความกังวลว่าบริษัทจะไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้อีก ในวันที่ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ไม่จำเป็นต้องทำงานอยู่ที่บ้านตลอดเวลาเหมือนอย่างเช่นในปี 2020 นอกจากนี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าจะเริ่มขึ้นครั้งแรกในเดือนหน้า จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของราคาหุ้น
เชื่อว่าปัจจัยกดดันเหล่านี้จะคงอยู่กับหุ้นโฮม ดีโปต่อไป หุ้นโฮม ดีโปมีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $346.87
2. Macy’s
ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ‘เมซี่’ (NYSE:M) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ในวันและเวลาเดียวกันกับโฮม ดีโป นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้ ห้างเมซี่และเครือข่ายธุรกิจจะสามารถทำกำไรได้ $8,430 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.99
การรายงานผลประกอบการในไตรมาสสามเมื่อเดือนพฤศจิกายนของเมซี่ ที่นอกจากจะสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้แล้ว บริษัทยังปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรในปีนี้ด้วยว่าจะเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงความมั่นในของเมซี่ว่าความต้องการของผู้บริโภคในช้วงปีใหม่ที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้น เทรนด์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคจากออฟไลน์มาเป้นออนไลน์ก็ช่วยให้เมซี่มียอดขายเพิ่มขึ้น จนถึงขนาดว่าภายในช่วงครึ่งหลังของ 2022 เมซี่วางแผนว่าจะเปิดตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในรูปแบบดิจิทัล
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานข้อมูลว่านักลงทุน Jana Partners ได้เข้าซื้อหุ้นเมซี่ 1.5% ก่อนที่จะมีส่วนกับการผลักดันให้เมซี่แยกหน่วยธุรกิจออกมาเป็น e-commerce หลังจากนั้น จาน่าก็ได้ขายหุ้นของตัวเองไปบางส่วน ทั้งๆ ที่มีการคาดการณ์ว่าห้างเมซี่อาจจะรายงานผลประกอบการเป็นบวกได้ทั้งไตรมาสล่าสุด และตลอดทั้งปี 2021 อย่างไรก็ตาม ในช่วงสามเดือนล่าสุด ราคาหุ้นของเมซี่ปรับตัวลดลงประมาณ 30% มีราคาซื้อขายเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $25.70
3. Moderna
หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิดโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ในวันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้โมเดิร์นนาจะสามารถทำยอดขายได้ $6,570 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $9.62
เป็นที่ทราบกันดีว่าตลอดสองปีที่มีการระบาดเกิดขึ้น หุ้นของโมเดิร์นนาและบริษัทผู้ผลิตวัคซีนอื่นๆ อย่างเช่นไฟเซอร์ (NYSE:PFE) สามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างมาก แต่ในปีนี้ ราคาหุ้นโมเดิร์นนากลับทำขาลงไปแล้ว 43% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $145.74 สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการระบาดของโอมิครอนกลายเป็นสิ่งที่ออกจากกระแสหลักไปแล้ว ทำให้นักลงทุนเกิดความสงสัยว่าในวันที่โควิดกลายเป็นเรื่องธรรมดา การถือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนจะยังเป็นสิ่งที่ได้กำไรอยู่อีกหรือไม่
นอกจากนี้ยอดขายของโมเดิร์นนาในเดือนพฤศจิกายนก็ไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ได้ และตอนนั้นบริษัทก็ได้คาดการณ์ว่ากำไรจากการขายวัคซีนโควิด-19 จะลดลง เนื่องจากต้นทุนในการขนส่งที่แพงขึ้น เพราะภาวะเงินเฟ้อ