รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

2 กองทุน ETF น่าลงทุนสำหรับผู้ที่สนใจหุ้นแดนมังกร

เผยแพร่ 04/08/2564 17:07
อัพเดท 02/09/2563 13:05

การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การใช้ชีวิตของพวกเราต้องพึ่งพาอยู่กับสื่อออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันออนไลน์จากประเทศใดก็ตาม หากใช้งานได้ดี ก็จะเข้าไปอยู่ในใจของผู้ใช้งานและกินส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้บริโภคในประเทศนั้นได้ไม่ยากเย็นนัก สำหรับประเทศจีนเรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ การเข้ามาของเทคโนโลยีโลกตะวันตกถือเป็นสิ่งที่จีนกังวลมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีกฎหมายมากมายมาควบคุมผลิตภัณฑ์จากต่างแดน รวมถึงแพลตฟอร์มธุรกิจที่มาจากโลกตะวันตกด้วย

อ้างอิงข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ “The People’s Daily” ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ของฝั่งพรรคคอมมิวนิสต์ได้ออกมาพูดอย่างชัดเจนว่าการต่อต้านการผูกขาดการค้าถือเป็นภารกิจหลักของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มาจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาเราได้เห็นการสกัดกั้นการเติบโตของธุรกิจมากมาย ไม่เฉพาะต่างประเทศ แต่รวมถึงธูรกิจของคนในชนชาติจีนเองเช่นการทำ IPO ของแอนท์กรุ๊ปโดยอาลีบาบา (NYSE:BABA) จนกระทั่ง IPO ที่เคยเป็นว่าที่เบอร์หนึ่งของโลกในแง่ของมูลค่าต้องหยุดโปรเจ็กต์ลงเพราะไม่อาจต้านทางรัฐบาลจีนได้

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น นักลงทุนต่างชาติก็พากันเทขายหุ้นรายใหญ่ของจีน เคธี่ วู๊ด เจ้าของกองทุนเทคฯ ชื่อดัง “ARK Invest” ก็ได้ตัดสินใจปรับพอร์ตหนีความเสี่ยงเป็นที่เรียบร้อย ผลกระทบดังกล่าวยังทำให้หุ้นชื่อดังของจีนปรับตัวลดลงด้วยไม่ว่าจะเป็น

  • Alibaba ปรับตัวลดลง 14.2% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD)
  • Baidu (NASDAQ:BIDU ปรับตัวลดลง 22.9% YTD
  • Didi Global (NYSE:DIDI) ปรับตัวลดลง 27.6% ตั้งแต่เปิดพับบลิคในเดือนมิถุนายน
  • New Oriental Education & Technology (NYSE:EDU): ปรับตัวลดลง 88.3% YTD
  • Tencent (OTC:TCEHY) ปรับตัวลดลง 14.7% YTD

จากการเทขายหุ้นจีนในครั้งนี้ทำให้ดัชนีหลักของจีนอย่างเซิ่นเจิ้นคอมโพสิตและเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวลดลงประมาณ 5% YTD หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทจะทะเบียนในสหรัฐฯ ทำผลงานได้ดีกว่าของตลาดจีนแล้ว

ท่ามกลางกระแสเทขายหุ้นจีน ยังมีนักลงทุนบางส่วนที่เชื่อว่าจีนยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพเติบโตต่อในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อหวังว่าในหวังที่กฎหมายของจีนเอื้อต่อการทำธุรกิจมากกว่านี้ บริษัทที่เคยมีมูลค่าลดลงจะกลับขึ้นมาเป็นเพชรเม็ดงามได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดีนักลงทุนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้อยากนำเงินลงทุนของตัวเองไปเสี่ยงกับกฎหมายของจีนด้วยตัวเอง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะมาแนะนำกองทุน ETF ที่เน้นถือครองหุ้นจีนเป็นหลัก และสมควรพิจารณาหากต้องการลงทุนในตลาดหุ้นจีน

1. Global X MSCI China Consumer Discretionary ETF

ระดับราคาปัจจุบัน: $30.15
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $24.34 - $43.90
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.07%
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.65% ต่อปี

กองทุนแรกที่เราอยากจะแนะนำคือ Global X MSCI China Consumer Discretionary ETF (NYSE:CHIQ) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (market cap) อยู่ในระดับกลางไปถึงสูง บริษัทที่ CHIQ เน้นลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในประเภทที่ “มีก็ได้ แต่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น” ธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มนี้กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากประชาชนที่อยู่ในชนชั้นกลางมีโอกาสเปลี่ยนสถานะตัวเองได้ง่ายขึ้นตามการเติบโตของเทคโนโลยีCHIQ Weekly

ปัจจุบัน CHIQ ถือครองหุ้นรวมแล้วทั้งสิ้น 83 ตัว อ้างอิงราคามาจากดัชนี MSCI China Consumer Discretionary 10/50 Index กองทุนนี้เริ่มต้นเปิดให้ลงทุนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2009 แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นออกเป็นสามกลุ่มหลักๆ ได้แก่กลุ่มขายสินค้าปลีกให้กับผู้บริโภคโคยตรงผ่านอินเตอร์เน็ต (32%) กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ (22%) ผู้ให้บริการด้านการศึกษา (12%) 

หุ้นสิบอันดับแรกที่กองทุนถือครองคิดเป็นสัดส่วน 54% ของสินทรัพย์ทั้งหมดซึ่งมีอยู่ประมาณ $758 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทชื่อดังที่ CHIQ ถือครองได้แก่ JD.com (NASDAQ:JD)  Pinduoduo (NASDAQ:PDD) Meituan (OTC:MPNGY) Nio (NYSE:NIO) และ Byd (OTC:BYDDY)

แม้ว่าผลงานในรอบ 52 สัปดาห์ล่าสุด CHIQ จะสามารถทำกำไรได้ 27% แต่หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน CHIQ กลับปรับตัวลดลง 15% สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อว่าจีนยังมีโอกาสเติบโต คุณสามารถลงทุนในกองทุนนี้ได้ เพียงแต่ต้องระวังความเสี่ยงจากกฎหมายควบคุมตลาดทุนของจีนเท่านั้น

2. KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF

ระดับราคาปัจจุบัน: $41.17
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $32.40 - $47.69
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.65% ต่อปี

รายงานจากแมคเค็นซี่เมื่อไม่นานมานี้ตั้งฉายาให้กับประเทศจีนว่า “เป็นประเทศที่มีการลงทุนกับเฮลท์แคร์ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” จีนลงทุนไปกับเฮลท์แคร์ของประเทศคิดเป็น 5.35% ของตัวเลข GDP เทียบกับประเทศอื่นๆ ของโลกจะเห็นว่าสหรัฐฯ ลงทุนไป 16.89% เยอรมัน 11.43% ญี่ปุ่น 10.95% สหราชอาณาจักร 10.00% โรมาเนีย 5.56% และรัสเซีย 5.32%

ข้อมูลที่กล่าวมานี้คือเหตุผลที่เราเลือกกองทุนที่ 2 ที่มีชื่อว่า KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (NYSE:KURE) เป็นกองทุนที่ลงทุนกับเฮลท์แคร์ของประเทศจีน กองทุนนี้เน้นบริษัทจีนที่ทำเกี่ยวกับเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ วิจัยเกี่ยวกับยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ KURE Weekly

ปัจจุบัน KURE ถือครองหุ้นรวมแล้วทั้งสิ้น 116 ตัว อ้างอิงราคามาจากดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index กองทุนนี้เริ่มต้นเปิดให้ลงทุนตั้งแต่มกราคม 2018 หุ้นสิบอันดับที่มีมูลค่าสูงสุดในกองทุนคิดเป็น 42% ของสินทรัพย์ทั้งหมดซึ่งมีอยู่เกือบ $239 ล้านเหรียญสหรัฐ

บริษัทชื่อดังที่ KURE ถือครองได้แก่ WuXi Biologics (HK:2269), Shenzhen Mindray Bio-Medical Electronics (SZ:300760) WuXi AppTec (SS:603259) และ Aier Eye Hospital Group (SZ:300015)

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของกองทุน KURE ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 2% เทียบกับปีที่แล้วที่ปรับตัวขึ้นมา 11% หากคุณเป็นคนที่เชื่อว่าประชากรจีนกำลังเติบโตขึ้น และมีความใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น นี่คือกองทุนที่จะตอบโจทย์ในยุคที่ใครๆ ก็หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพแน่นอน

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย