Highest EYG since Jan 2020 SET: คาด SET Index เปิดตลาดปรับตัวลงอีกครั้ง จากความกังวลต่อสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศที่มีรายงานยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตทําสถิติสูงสุดใหม่อีก ครั้งเช้าวันนี้ ประกอบกับการคาดคะเนต่อมาตรการ Full lockdown ที่ทางศบค. อาจจะประกาศออกมาในวันนี้เช่นกัน ส่งผลให้เงินบาทยังคงเดินหน้าอ่อนค่าท่า สถศใหม่อย่างต่อเนื่อง และถือเป็นสกุลเงินอันดับ 1 ในเอเชียที่มีการอ่อนค่ามาก ที่สุดในช่วงนี้ ในขณะที่ความชัน Yield curve ของไทยยังคงเดินหน้าทําจุดต่าสุด ใหม่ด้วยเช่นกัน สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างดี แนะนํา ติดตามการประชุมของสบค.ในวันนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณายกระดับ มาตรการ Lockdown ในประเทศที่เข้มข้นขึ้น แต่เรามองว่าปัจจัยดังกล่าว สะท้อนอยู่ในราคาไปพอสมควรตั้งแต่เมื่อวาน (รายละเอียดด้านล่าง) Roadmap & Strategy: ในบทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3 ของเราที่ ออกมาก่อนหน้านี้นั้น เราเคยประเมินกรอบการลงทุนของ SET Index ในช่วงไตร มาสนี้ที่บริเวณ 1550-1650 จุด อิงระดับบวกลบ 50 จุดจากระดับยุติธรรมของ SET ที่ 1600 จุด ซึ่งเป็นเป้าหมาย SET Index ของเราในปีนี้ที่ค่านวณจาก Forward PE กรณี Bull case ของเราที่ 16.8x (รูปที่ 1) นอกจากนั้น ในบทวิเคราะห์ดังกล่าว เรายังได้ประเมินถึงการพักตัวของ SET Index (Consolidation) ในช่วงไตรมาส 4 โดยให้ระดับแนวรับสําคัญที่ 1500 จุด ถึงกับ Forward PE ในกรณี Base case ที่ 15.7x (รูปที่ 1) อย่างไรก็ตาม ตัวยสถานการณ์ Covid-19 ภายในประเทศที่แย่ กว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ค่อนข้างมาก จึงทําให้เมื่อวานนี้ SET Index ได้หลุด ระดับแนวรับประจําไตรมาสของเราที่ 1550 จุดลงมาเป็นที่เรียบร้อย ด้วยเหตุนี้ เราจึงวางกลยุทธ์ไร้ 2 แนวทางดังต่อไปนี้ 1) สาหรับผู้ที่ทยอยสะสมหุ้นมาตั้งแต่ตอนที่ SET Index หลุดระดับ 1600 จุดและเพิ่มน้ําหนักอย่างสาคัญที่บริเวณแนวรับ 1550 จุด สามารถถือครองหุ้นใน ส่วนดังกล่าวไว้ก่อนได้ และเก็บเงินสดในส่วนที่เหลือเผื่อกรณีที่ดัชนีลงไป ทดสอบบริเวณแนวรับถัดไปที่ 1500 จุด ซึ่งในกรณีฐานเรามองว่าเป็นแนว รับที่ไม่น่าจะหลุดในรอบนี้ เนื่องจากดัชนี้ได้รับรู้ประเด็นข่าวร้ายเรื่อง มาตรการ Full lockdown ไปพอสมควรแล้ว และเรายังไม่คิดว่าจะมี ข่าวร้ายใดๆออกมาจากทางฝั่งของธนาคารกลางต่างๆในช่วง1-2 เดือนนี้
2) สาหรับผู้ที่ยังถือเงินสดในระดับสูง แนะใช้จังหวะปัจจุบันในการทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ จากระดับ Risk-reward ที่เริ่มจูงใจมากขึ้น ดูได้จาก Upside potential ที่มากกว่า Downside risk จากตาราง PE Model ของเรา (รูปที่ 1) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาจากมาตรวัด Earning yield gap ที่ล่าสุดปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ +1SD จากค่าเฉลี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2020 เลยทีเดียว (รูปที่ 2) หากว่าในระยะ สั้นไม่มีข่าวร้ายเรื่อง Covid-19 ที่แย่ไปกว่านี้อีก มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะ ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาได้ จากการโยกย้ายเงินออกจากตลาดตราสารหนี้เข้า สู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง(uattfuck2นบ้านล้ง) แนวรับ 1,523 แนวต้าน 1,560 บทวิเคราะห์วันนี้ • KTB (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 14 บาท) คาดกําไรอ่อนตัว QoQ หลัง Non-NII อ่อนตัว สํารองหนี้เพิ่ม
• Tu (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 23 บาท) คาดท่าไร 2Q64 เติบโตต่อเนื่อง
Theme: โดยสําหรับพอร์ตแนะน่าในช่วงนี้นั้น เราแบ่งหุ้นออกเป็น 2 ธีมใหญ่ๆ ได้แก่ 1) เน้นการถือครองไปยังหุ้นที่องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายนอก เช่นกลุ่มส่งออกและ Logistics ซึ่งประเมินว่าจะยังมี Earnings momentum ในช่วงไตร มาสที่ 2-3 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง รวมถึงได้อานิสงส์ของการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ KCE, TFG, ASIAN, SUN, XO, LEO, WICE, SONIC 2) Buy on dip สําหรับหุ้นกลุ่ม Domestic cyclical และ Reopening ที่ปรับลงมาแรงจนมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจแล้ว หรือกล่าวคือมี Multiple ปัจจุบันที่ต่า กว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังแล้วนั่นเอง ซึ่งหากเรียงตามล่าดับ % discount จะ ได้แก่ SPRC, KBANK (BK:KBANK), PLANB, ZEN, BAM, PTG, ADVANC, ROJNA, ICHI, BTS, CPALL (BK:CPALL) (รูปที่ 3)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities