หลังจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ได้ข้อสรุปว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสองครั้งภายในปี 2023 สิ่งที่น่าประหลาดใจก็ได้เกิดเขึ้นในตลาดลงทุนเมื่อหุ้นในกลุ่มการเงินและธนาคารกลับปรับตัวลงทั้งๆ ที่ควรจะได้รับแรงสนับสนุนจากความเป็นไปได้ที่จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นดัชนีดาวโจนส์ที่วัดเฉพาะหุ้นกลุ่มการเงินที่เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ก็ได้ปรับตัวลดลงมาจากจุดนั้นจนถึงตอนนี้ 5% ดัชนีดาวโจนส์ที่วัดเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ก็ได้ปรับตัวลดลงมาจากจุดนั้น 10% เช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญให้เหตุผลถึงสาเหตุของปรากฎการณ์นี้ว่าอาจเป็นเพราะธนาคารไม่ได้มีแหล่งรายได้จากการทำธนาคารเพื่อฝากเงินเพียงอย่างเดียว แต่ธนาคารมักจะกระจายความเสี่ยงไปทำธุรกิจอื่นที่ไม่ได้มีกำไรขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย เมื่อสภาพคล่องกำลังจะถูกดึงออกจากตลาดเร็วขึ้น หมายความว่ากำไรที่เคยได้จากธุรกิจอื่นก็จะลดลง สำหรับนักลงทุนสายเทคนิค พวกเขาอาจจะสรุปไปแล้วก็ได้ว่าหุ้นในกลุ่มการเงินหรือธนาคารต้องปรับตัวลงในอีกไม่กี่วันนี้อย่างแน่นอน ในบทความนี้เราจึงมาแนะนำกองทุน ETF ที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังเพราะมีราคาที่ถูกลง
1. iShares US Financial Services ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $181.81
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $115.62 - $191.37
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.55%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.42% ต่อปี
กองทุน ETF ที่มีชื่อว่า iShares US Financial Services (NYSE:IYG) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทผู้ให้บริการทางด้านการเงิน เช่นหุ้นของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการลงทุน กองทุนที่ดูแลจัดการทรัพย์สิน บริษัทผู้ให้บริการเกี่ยวกับบัตรเครดิตและผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา กองทุนนี้อ้างอิงราคาตามดัชนีดาวโจนส์ของผู้บริการด้านการเงินในสหรัฐฯ
IYG เริ่มต้นเทรดมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2000 ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 103 ตัว หุ้นสิบอันดับแรกของ IYG คิดเป็นสัดส่วน 57% ของกองทุนทั้งหมด มีมูลค่าตลาดรวมกันมากถึง $2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ 42.13% ของหุ้นที่ IYG ถือครองเป็นของกลุ่มการเงิน ตามมาด้วยกลุ่มสินทรัพย์กระจายความเสี่ยง 39.60% ผู้ให้บริการซอฟแวร์ 17.82%
หุ้นชื่อดังที่ IYG ถือครองเอาไว้ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อที่พวกเราคุ้นหูกันดี ยกตัวอย่างเช่น JPMorgan Chase (NYSE:JPM), Visa (NYSE:V), Mastercard (NYSE:MA), Bank of America (NYSE:BAC) และ Wells Fargo (NYSE:WFC)
ตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน กองทุน IYG ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 20% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 25.14 และ 2.24 ตามลำดับ หากเห็นว่าราคา IYG ย่อตัวลงมาที่ $170 ให้พิจารณาได้ว่าเป็นจุดสมควรเข้าซื้อ
2. Invesco KBW High Dividend Yield Financial ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $20.67
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $12.57 - $21.65
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 6.86%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 1.24% ต่อปี
กองทุน ETF นาม Invesco KBW High Dividend Yield Financial (NASDAQ:KBWD) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัททางการเงินขนาดเล็ก ซึ่งประเมินแล้วว่าสามารถมอบอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนในระดับที่แข็งขันกับบริษัทอื่นได้ KBWD มักเน้นไปที่บริษัทที่ทำเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สิน mREITs และธนาคารที่ถูกรับรองโดยธนาคารกลาง KBWD มีการปรับพอร์ตและการสร้างพอร์ตใหม่ในทุกๆ ไตรมาส
KBWD เป็นกองทุนที่อ้างอิงราคาตามดัชนี KBW NASDAQ Financial Sector Dividend Yield Index เริ่มต้นเทรดมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2010 ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 40 ตัว มีสินทรัพย์รวมแล้วทั้งสิ้นอยู่ที่ $460.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นที่ KBWD ถือครองล้วนแล้วแต่เป็นบริษัททางการเงินชื่อดังเช่น FS KKR Capital (NYE:FSK), Newtek Business Services (NASDAQ:NEWT), REITs Chimera Investment (NYSE:CIM) และ Apollo Commercial Real Estate Finance (NYSE:ARI)
ตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน กองทุน KBWD ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 24.5% สร้างจุดสูงสุดล่าสุดในรอบหลายปีไปเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 16.19 และ 1.55 ตามลำดับ หากต้องการถือครองกองทุนตัวนี้ ให้ราคาปรับตัวลดลงมาที่ $19 หรือต่ำกว่าจึงค่อยพิจารณาเข้าซื้อ