ลด 50%! ชนะตลาดในปี 2025 ด้วย InvestingProรับส่วนลด

3 หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: Nike, FedEx, Paychex

โดยInvesting.com
ผู้เขียนHaris Anwar
เผยแพร่ 21/06/2564 14:59
DJI
-
FDX
-
PAYX
-
NKE
-

ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้วสร้างความผันผวนให้กับตลาดลงทุนเป็นอย่างมาก ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงมากกว่า 553 จุด สร้างสถิติสัปดาห์ที่แล้วร้ายที่สุดของดัชนีนับตั้งแต่เดือนตุลาคม นักลงทุนพากันเทขายหุ้นกลุ่มวัฐจักรเนื่องจากการส่งสัญญาณว่าจะร่นระยะเวลาปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาเร็วขึ้นของเฟดทำให้ตลาดลงทุนกลัวว่าจะได้กำไรลดลง

นอกจากการเลื่อนเวลาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้ขึ้นมาเป็นปี 2023 แล้ว ผู้วางนโยบายของเฟดหลายคนมีความเห็นตรงกันว่าควรจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสองครั้งภายในปี 2023 นอกจากนี้ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังได้กล่าวด้วยว่าได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการลดวงเงิน QE กันบ้างแล้ว แต่ยังไม่ระบุชัดเจนว่าการดึงสภาพคล่องออกนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 

เราเชื่อว่าการลงทุนในสัปดาห์นี้นักลงทุนจะยังพูดถึงผลกระทบจากการวางนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่จะไม่ใช่ในรูปแบบตื่นตระหนกเหมือนสัปดาห์ก่อน แต่จะเป็นการทำอย่างไรเพื่อรักษาความมั่งคั่งภายใต้ความเป็นไปได้ที่อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น และเช่นเคยบทความนี้ได้คัดหุ้นที่น่าสนใจที่สุดสามตัวประจำสัปดาห์นี้มาให้คุณผู้อ่านได้พิจารณากัน

1. Nike

บริษัทผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับกีฬาชื่อดังของโลก ‘ไนกี้’ (NYSE:NKE) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่สี่ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสนี้ไนกี้จะสามารถทำกำไรได้ $11,090 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.51NKE Weekly TTM

หุ้นไนกี้ถือว่าสามารถฟื้นตัวได้ดีจากวิกฤตโควิดในปีที่แล้ว แต่พอขึ้นปี 2021 มาความร้อนแรงของหุ้นไนกี้ก็ลดลง นักลงทุนจึงกำลังรอดูว่ากำไรในประเทศที่มีกำลังซื้อมากที่สุดอย่างสหรัฐฯ และจีนจะสามารถฟื้นตัวได้ดีแค่ไหน หากตัวเลขที่ออกมาชี้ให้เห็นว่าไนกี้ยังมีกำไรที่ดีจากทั้งสองประเทศ ราคาหุ้นของไนกี้อาจหลุดกรอบไซด์เวย์ขาลง กลายเป็นขาขึ้นต่อก็เป็นได้

แบรนด์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ประกอบกับการเปลี่ยนรูปแบบการขายมาสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น ทำให้ไนกี้สามารถเอาตัวรอดมาจากวิกฤตโควิด แต่ถึงกระนั้นไนกี้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากซัพพลายเชนขาดแคลนที่ประสบเหมือนกันทั่วโลกได้ เมื่อของที่มีในสต๊อกเริ่มลดลง ไนกี้จึงเริ่มประสบปัญหาสินค้าขาดแคลนที่จะส่งไปขายยังภูมิภาคอเมริกาเหนือ

ล่าสุดหุ้นไนกี้มีราคาปิดอยู่ที่ $128.41 ปรับตัวลดลง 9% ตลอดทั้งปี 2021 ในการประกาศตัวเลขผลกำไรในไตรมาสเดือนมีนาคมปรากฎว่ากำไรในพื้นที่ยุโรปยังไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก เนื่องจากในช่วงนั้นยุโรปยังเผชิญหน้ากับวิกฤตโรคระบาดอยู่ แต่ในไตรมาสนี้ยุโรปสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดได้พอสมควรแล้ว นักลงทุนจึงต้องการทราบว่ากำไรในพื้นที่ยุโรปจะดีขึ้นตามไปด้วยหรือไม่

2. FedEx

บริษัทที่ให้บริการขนส่ง การค้าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ และบริการด้านธุรกิจแก่ลูกค้าและธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก ‘เฟ็ดเอ็กซ์’ (NYSE:FDX) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่สี่ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสนี้เฟ็ดเอ็กซ์จะสามารถทำกำไรได้ $21,470 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $4.98FDX Weekly TTM

การรายงานผลประกอบการของบริษัทเฟ็ดเอ็กซ์ควรค่าแก่การจับตาเป็นอย่างยิ่ง เพราะบริษัทเฟ็ดเอ็กซ์คือบริษัทขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ดังนั้นผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงสามารถใช้เป็นตัวบ่งบอกถึงสภาพวงการขนส่งของโลกในปัจจุบัน รายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดในเดือนมีนาคมปรากฎว่ายอดผู้ใช้บริการขนส่งของเฟ็ดเอ็กซ์มีเพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบมาจากโควิดที่แยกผู้คนออกจากกัน

ในรายงานผลประกอบการครั้งนั้น เฟ็ดเอ็กซ์เปิดเผยว่ากำไรที่ได้จากการใช้บริการมากขึ้นช่วยชดเชยการขาดทุนที่เป็นผลกระทบมาจากการขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้เฟ็ดเอ็กซ์ยังคาดการณ์ด้วยว่ากำไรปี 2021 จะเติบโตขึ้น ล่าสุดหุ้นเฟ็ดเอ็กซ์มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $285.32 ปรับตัวขึ้น 10% ตลอดทั้งปี 2021

3. Paychex

บริษัทผู้ให้ข้อมูลทางสถิติเชิงลึกถึงสถานภาพของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางด้วยตัวเลขการจ้างงาน ‘เพย์เช็กซ์’ (NASDAQ:PAYX) จะรายงานผลประกอบการในวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสนี้เพย์เช็กซ์จะสามารถทำกำไรได้ $980 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.67 PAYX Weekly TTM

ล่าสุดราคาหุ้นของเพย์เช็กซ์มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $102.02 ปรับตัวขึ้นมา 9% ตลอดทั้งปี 2021 นายมาร์ติน มันชี่ CEO ของเพย์เช็กซ์กล่าวในรายงานผลประกอบการเมื่อเดือนเมษายนว่า

“ผลการเก็บข้อมูลเชิงสถิติของบริษัทได้บอกกับเราว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงวิกฤตโควิด-19 คือการกลับมาใช้สินค้าอุปโภคบริโภคเดิมที่ไว้ใจแบบซ้ำๆ ดังนั้นแบรนด์ที่ได้ความไว้ใจของผู้บริโภคมากที่สุดจึงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จภายในช่วงเศรษฐกิจผันผวนที่กำลังเผชิญในปัจจุบัน”

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย