หากคิดว่าการขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่ของดัชนีหลักๆ ของสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นเรื่องตื่นเต้น สัปดาห์นี้ยังมีเรื่องให้ตื่นเต้นมากกว่าเพราะเรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2021 กันแล้ว ในไตรมาสที่ 1 ดัชนีหลักของสหรัฐฯ อย่างเอสแอนด์พี 500 สามารถปรับตัวขึ้นได้ 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เอสแอนด์พีสามารถขึ้นได้มากขนาดนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2018 สมัยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกนโยบายปรับลดอัตราภาษีจนทำให้บริษัทเอกชนต่างได้กำไรเพิ่มขึ้นกันทั่วหน้า
การรายงานผลประกอบการครั้งนี้มีความสำคัญอยู่สองประการ ประการแรกนักลงทุนจะได้ทราบกันว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่) ที่เคยปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงการระบาดปีที่แล้วจะยังสามารถรักษาการเติบโตของผลกำไรเอาไว้ได้หรือไม่ ประการที่สองนักลงทุนจะดูภาพรวมการรายงานผลประกอบการในไตรมาสนี้ว่าสามารถเติบโตได้ดีเพียงใดภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
หุ้นสามตัวที่เราเลือกมาในวันนี้มาจากสามกลุ่มที่แตกต่างกัน แต่มีแผนที่จะรายงานผลประกอบการภายในสัปดาห์นี้เหมือนกัน
1. JPMorgan Chase
หนึ่งในธนาคารสำหรับการลงทุนยักษ์ใหญ่เจพีมอร์แกน (NYSE:JPM) จะรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ในวันพุธที่ 14 เมษายน ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เจพีมอร์แกนจะสามารถทำกำไรได้ $30,460 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.06 การรายงานผลประกอบการของไตรมาสล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มกราคมค่อนข้างสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนเมื่อเจพีมอร์แกนสามารถรายงานผลกำไรเป็นบวกได้ทั้งๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิดในช่วงปีใหม่
จากการวิเคราะห์ของนักลงทุนบางกลุ่ม พวกเขาเชื่อว่าที่ธนาคารผู้ให้กู้รายใหญ่นี้สามารถเอาตัวรอดในช่วงวันหยุดคริสต์มาสและปีใหม่มาได้เป็นเพราะการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ การที่นักลงทุนทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารไปลงทุนทำให้ธนาคารได้ค่าธรรมเนียมมากมายจนสามารถรายงานผลประกอบการเป็นบวกได้
ดังนั้นการรายงานผลประกอบการที่กำลังจะมาถึงนี้ นักลงทุนจึงอยากรู้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของโจ ไบเดนที่ทำให้ดัชนีหลักของสหรัฐฯ สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ทุกวันจะช่วยให้กำไรของเจพีมอร์แกนในไตรมาสนี้เป็นบวกอีกครั้งหรือไม่ ตลอดปี 2021 หุ้นเจพีมอร์แกนปรับตัวขึ้นมา 23% สูงกว่าเอสแอนด์พี 500 ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน 9% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $156.28
2. Delta Air Lines
สายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ (NYSE:DAL) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายนก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าเดลต้า แอร์ไลน์จะสามารถทำกำไรในไตรมาสนี้ได้ $4,020 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยุ่ที่ $2.84
เป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจสายการบินคือหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมากที่สุด แต่ด้วยการกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลโจ ไบเดน ทำให้ตอนนี้สายการบินของสหรัฐอเมริกากำลังเป็นวงการที่กำลังฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว
เอ็ด บาสเตียน CEO ของสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ได้เขียนโน๊ตถึงพนักงานบริษัทในช่วงปีใหม่ว่าปี 2021 จะเป็นปีของการฟื้นตัว เมื่อผู้คนกลับมาเดินทางอีกครั้ง บริษัทก็จะมีกระแสเงินสดไหลเวียนมากขึ้น จากสถานการณ์ตอนนี้เราคิดว่าเอ็ดคาดการณ์ถูก มีรายงานเข้ามาในช่วงไม่กี่วันก่อนที่จะเขียนบทความนี้ว่ามีผู้โดยสารมากกว่าหนึ่งล้านคนแล้วที่กลับมาใช้บริการของสายการบินนี้อีกครั้ง
ข่าวดีสำหรับธุรกิจสายการบินอีกเรื่องหนึ่งคือหน่วยงานกำกับดูแลและควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้มีประกาศออกมาเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วสามารถเดินทางภายในประเทศได้โดยไม่จำเป็นต้องกักตัวหรือทำการทดสอบว่าติดเชื้อโควิดอีกต่อไป ล่าสุดหุ้นของสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์มีราคาอยู่ที่ $49.27
3. PepsiCo
บริษัทผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มชื่อดังอย่างเป๊ปซี่ (NASDAQ:PEP) จะรายงานผลประกอบการในวันและเวลาเดียวกันกับสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ นักวิเคราะห์คาดว่าเป๊ปซี่จะสามารถทำกำไรในไตรมาสนี้ได้ $14,550 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยุ่ที่ $1.12
นอกจากเครื่องดื่มเป๊ปซี่แล้ว บริษัทนี้ยังเป็นเจ้าของขนมขบเคี้ยวหลายๆ ยี่ห้อที่เห็นได้ตามร้านขายของทั่วไปในสหรัฐอเมริกาอย่างเช่นโดริโทส ฟริโทส รัฟเฟิล ฯลฯ ด้วยกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงไปสร้างแบรนด์ขนมขบเคี้ยวเหล่านี้จึงทำให้บริษัทเป๊ปซี่ทำกำไรได้อย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดเพราะผู้คนแห่กันซื้อทั้งขนมและเครื่องดื่มไปกักตุนไว้
ฮิวจ์ จอห์นสตัน หัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทเป๊ปซี่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า
“ช่วงการแพร่ระบาดถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากที่สุด ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตามผู้คนก็ต้องกินต้องดื่ม สิ่งที่บริษัททำก็มีเพียงหาช่องทางเอาผลิตภัณฑ์ของเราไปวางไว้ให้ถูกที่ถูกเวลาและง่ายต่อการหยิบจับก็เท่านั้น”
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เริ่มปี 2021 หุ้นของเป๊ปซี่ทำผลงานขาขึ้นได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ล่าสุดหุ้นเป๊ปซี่มีราคาปิดอยู่ที่ $142.57 ปรับตัวลดลง 4%