หากจะถามว่าหุ้นตัวไหนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด? เชื่อว่าปีนี้ร้อยทั้งร้อยต่างต้องยกตำแหน่งนี้ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (NASDAQ:TSLA) แต่ก็อย่างที่คำโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว” ก่อนที่จะมีวันนี้ได้เทสลาเคยล้มลุกคลุกคลานมาแล้วในช่วงสองสามปีก่อน บริษัทมีปัญหาตั้งแต่แบตเตอรี่ยังไม่สามารถคงระยะเวลาได้นานพอ และไม่สามารถส่งมอบรถได้ทันตามกำหนด จนกระทั่งในช่วงปีสองปีนี้ในที่สุดทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
ตั้งแต่ต้นปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นเทสลาคือบริษัทเดียวที่สามารถทะยานขึ้นได้มากถึง 691% แซงหน้าอัตราการเติบโตของหุ้นทุกตัวที่อยู่บนดัชนีแอสแอนด์พี 500และแนสแด็ก 100 ได้หมดทุกตัว แม้แต่มูลค่าตลาดของบริษัทเทสลาในตอนนี้ก็นับว่าสูงกว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์แนวหน้าอย่างเช่น Fiat Chrysler (NYSE:FCAU), Ford Motor (NYSE:F), General Motors (NYSE:GM), Honda (NYSE:HMC), Hyundai (OTC:HYMLY), Nissan (OTC:NSANY), Peugeot (OTC:PUGOY), Toyota (NYSE:TM) และ Volkswagen (OTC:VWAGY)
แม้จะมีนักวิเคราะห์หลายคนประเมินว่าการมาของเทสลาในตอนนี้ก็เหมือนกับตอนที่โลกได้รู้จัก iPhone จากบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ใหม่ๆ แต่การที่เทสลาได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถขึ้นไปอยู่บนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมาก็ถือเป็นการบ่งบอกแล้วว่าปีนี้เทรนด์อะไรกำลังมาและใครคือผู้ชนะบนตลาดหุ้นในปี 2020 อย่างแท่จริง
หุ้นโดดเด่นที่สุดบน NASDAQ 100
วิกฤตโรคระบาดไวรัสโคโรนาส่งผลกระทบต่อธุรกิจในแทบจะทุกภาคส่วน แต่มีเพียงหุ้นสองกลุ่มเท่านั้นที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น: เทคโนโลยีและไบโอเทคโนโลยี จึงไม่แปลกใจเลยที่จะได้เห็นดัชนีแนสแด็ก 100 ที่เป็นบ้านของหุ้นทั้งสองกลุ่มเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ปีนี้ดัชนีแนสแด็ก 100 เติบโตขึ้น 45.5% นอกจากนี้หุ้นที่อยู่ในสังกัดประมาณ 84% ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วยเมื่อเทียบกับดัชนีหลักอย่างเอสแอนด์พีและดาวโจนส์
โมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA)บริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิดชื่อดังคือหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดบนแนสแด็ก 100 เป็นอันดับสองรองจากเทสลา ตลอดทั้งปีหุ้นโมเดิร์นนามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 530% ขึ้นมายังระดับราคา $123.39 ตามมาด้วยอันดับสามคือซูม (NASDAQ:ZM) บริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมทางไกลผ่านวิดีโอ มีอัตราการเติบโตของหุ้นตลอดทั้งปีอยู่ที่ 451% จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนทั่วโลกมาทำงานอยู่บ้านมากขึ้น
ในช่วงวิกฤตโรคระบาดนี้ กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้คนเป็นอย่างมากคือการซื้อสินค้าออนไลน์ หากไม่พูดถึงบริษัทอะเมซอน บริษัทที่น่าสนใจและสามารถตามมาเป็นอันดับสองได้ก็คือ Etsy (NASDAQ:ETSY) เป็นแพลตฟอร์มที่เริ่มต้นมาจากการเปิดพื้นที่ให้ซื้อขายสินค้าประเภทแฮนด์เมดเป็นหลักและสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในปี 2020 บนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ตลอดทั้งปี หุ้นของบริษัทสามารถเติบโตขึ้นมารวมแล้วทั้งสิ้น 330%
อีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตที่มีการเติบโตเป็นอย่างมากในกระแสการทำงานอยู่บ้านในปีนี้คือการออกกำลังกายภายในเคหะสถานของตน แล้วคิดดูว่าจะดีแค่ไหนหากมีบริการเช่าอุปกรณ์ออกกำลังกายส่งให้ผู้บริโภคถึงที่ ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงบริษัท Peloton (NASDAQ:PTON)บริษัทที่เข้าใจถึงหัวใจของผู้ที่ต้องการออกกำลังกายแต่ไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้ ความสามารถในการตอบโจทย์ผู้บริโภคในด้านนี้ทำให้หุ้นของ Peloton เติบโตบนดัชนีแนสแด็ก 100 มากถึง 473% ตามมาด้วยหุ้นของบริษัท Okta (NASDAQ:OKTA) และ PayPal (NASDAQ:PYPL) ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 139% และ 120.6% ตามลำดับ
หุ้นเทคฯ คือผู้ชนะในปีนี้อย่างแท้จริงในขณะที่ท่องเที่ยว และพลังงานเจ็บหนัก
เป็นที่ทราบกันดีว่าปีนี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างโดดเด่น เมื่อมองหาหุ้นเทคโนโลยีบนดัชนีดาวโจนส์ ก็ไม่มีใครจะโดดเด่นไปกว่ายักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล (AAPL) ไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) และไนกี้ (NYSE:NKE) ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 79.9%, 41.3% และ 39.8% ตามลำดับ
ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือหุ้นกลุ่มบริษัทที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างเช่นพลังงานและการท่องเที่ยว เมื่อเดือนเมษายน ราคา น้ำมันดิบ WTI, ของสหรัฐฯ ได้ลงไปสร้างจุดต่ำสุดติดลบที่ $48.23 ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรก ผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบตกต่ำนี้ทำให้หุ้นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ 6 จาก 10 บริษัทอย่างเช่น Occidental Petroleum (NYSE:OXY) และ Marathon Oil (NYSE:MRO) มีมูลค่าลดลง 57.1% และ 51.2% รวมไปถึงหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันชื่อดังด้วยอย่างเช่น Chevron (NYSE:CVX) และ Exxon Mobil (NYSE:XOM) ที่ปรับตัวลดลง 29.4% และ 40% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามธุรกิจน้ำมันก็ยังพอจะได้รับความช่วยเหลือจากทางภาครัฐอยู่บ้าง เมื่อผู้คนเริ่มจะพยายามกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ การผลิตน้ำมันภายในประเทศก็พอที่จะต่อลมหายใจให้กับบริษัทเหล่านี้ แต่ธุรกิจที่ยังคงไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคงก็คือกลุ่มท่องเที่ยว โรมแรมและสายการบินที่พึ่งพาความเชื่อมั่นของลูกค้าเป็นหลัก บริษัทเจ้าของเรือสำราญอย่าง Carnival Corporation (NYSE:CCL) และ Norwegian Cruise Line Holdings (NYSE:NCLH) คือหุ้นบนเอสแอนด์พี 500 ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด มูลค่าของหุ้นทั้งสองในปีนี้หายไป 59% และ 58% ตามลำดับ Royal Caribbean (NYSE:RCL) ก็ไม่รอดเมื่อมูลค่าของหุ้นหายไป 47.1%
ในช่วงแรกของปี หุ้นของบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินโบอิ้ง (NYSE:BA) ก็ได้รับผลกระทบตามธุรกิจสายการบิน แต่หลังจากที่เครื่องบินรุ่น 737 MAX ได้รับอนุญาตให้กลับขึ้นบินได้อีกครั้งทำให้ตอนนี้หุ้นโบอิ้งได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 33%
สัจธรรมในการลงทุนอย่างหนึ่งที่ยังคงเป็นจริงเสมอมาก็คือไม่มีใครสามารถยืนหยัดค้ำฟ้าได้ไปตลอด วันหนึ่งความร้อนแรงของเทสลาหรือโมเดิร์นนาก็ต้องลดลงตามธรรมชาติ ยิ่งการมาถึงของวัคซีนโควิด-19 จะทำให้หุ้นหลายตัวที่ได้เปรียบในปีนี้อย่างเพโลตอนหรือซูมอาจไม่ถูกพูดถึงอีกเลยก็ได้ในปีหน้า ความเป็นจริงนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าโลกอยู่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล อะเมซอน (NASDAQ:AMZN) เฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) หรือเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) เองก็ตาม สุดท้ายแล้วราคาหุ้นก็จะวิ่งกลับมาอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับมูลค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ภาพด้านล่างนี้คือตารางสรุป 10 บริษัทที่ทำผลงานได้ดีที่สุดและแย่ที่สุดบนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาประจำปี 2020