เมื่อวันจันทร์ นักลงทุนตลาดหุ้นได้รับสัญญาณข่าวดีครั้งใหม่เมื่อบริษัทผู้ผลิตยาไฟเซอร์ (NYSE:PFE) ประกาศว่าการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 ของพวกเขาในขั้นตอนสุดท้ายได้ผลลัพธ์กลับมาที่ดีมากกว่า 90% จากอาสาสมัครมากกว่าหนึ่งพันคน ข่าวดีนี้ทำให้นักลงทุนตั้งความหวังไปแล้วว่าพวกเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นเสียทีเพราะพวกเขาเบื่อที่จะได้เห็นข่าวยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ตอนนี้สหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อเกิน 100,000 คนต่อวันและคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 1.2 ล้านคนทั่วโลก
นักวิเคราะห์บางคนประเมินว่าความสำเร็จของไฟเซอร์ครั้งนี้จะทำให้นักลงทุนกระจายเงินที่มีออกไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ห้าเทพหุ้นเทคฯ อย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) หรือแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มวัฐจักรที่โดยปกติแล้วมักจจะเป็นผู้กลับมาได้จากวิกฤต นี่คือสาเหตุว่าทำไมดัชนีอย่าง S&P 500 MSCI World และ MSCI All-Country World Equity ถึงสามารถกลับขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อจะพูดถึงเรื่องหุ้นวัฐจักรแล้ว บทความนี้จึงขอยกหุ้นวัฐจักรที่น่าสนใจสามตัวมาให้คุณผู้อ่านได้พิจารณากัน
1. ExxonMobil
หลังจากมีการประกาศข่าวดีเรื่องวัคซีน หุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาอย่างเอ็กซ์ซอนโมบิล (NYSE:XOM) สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้ทันที 13% เหตุผลที่หุ้นน้ำมันสามารถกลับขึ้นมานั้นง่ายมากเพราะเท่ากับว่าความหวังที่ความต้องการน้ำมันดิบจะกลับมาเป็นปกติกำลังใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เมื่อวานนี้หุ้นของเอ็กซ์ซอนโมบิลก็ยังสามารถขึ้นได้อีก 2.2% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $36.48
เป็นที่ทราบกันดีว่าสาเหตุที่น้ำมันที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันมีราคาถูกในตอนนี้เป็นผลกระทบมาจากความต้องการน้ำมันที่หายไปจากวิกฤตโรคระบาด เราอาจจะดีใจที่ได้ใช้น้ำมันราคาถูกลงแต่รู้หรือไม่ว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันต้องปรับตัวอย่างไรบ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดทั้งปี บางรายต้องปลดพนักงานออก บางรายต้องลดเงินปันผลแก่นักลงทุนเพื่อเอาตัวรอด ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันเหล่านี้โดยเฉพาะเอ็กซ์ซอนโมบิลจึงหวังเป็นอย่างมากว่าสัปดาห์หน้าวัคซีนของไฟเซอร์จะได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA)
อัตราเงินปันผลตอบแทนของหุ้น XOM ที่ 9.65% เมื่อวันอังคารทำให้นักลงทุนเป็นกังวลต่ออนาคตการปันผลของบริษัทเป็นอย่างมาก ในมุมมองของเรา ตอนนี้เอ็กซ์ซอนโมบิลกำลังเจอความยากลำบากในการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาเพราะถึงแม้ต่อให้โควิดจะจากไปแล้ว สิ่งที่บริษัทผู้ผลิตน้ำมันต้องแก้ปัญหาต่อคือการระบายน้ำมันดิบคงคลังและก๊าซธรรมชาติที่เก็บเอาไว้ออกมาใช้อย่างเร็วที่สุด หลังจากนั้นจึงไปกังวลกับเรื่องการเติบโตของอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าและนโยบายรักษ์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่
2. JPMorgan Chase
เมื่อพูดถึงหุ้นกลุ่มวัฐจักร กลุ่มที่จะลืมไปไม่ได้เลยคือหุ้นที่อยู่ในกลุ่มของธนาคารซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่อยู่ใกล้กับโลกเศรษฐกิจที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่หุ้นกลุ่มนี้จะปรับตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิด ท่ามกลางกลุ่มธนาคารมีเพียงหุ้นของธนาคารเพื่อการลงทุนอย่างเจพีมอร์แกน (NYSE:JPM) เท่านั้นที่สามารถวิ่งขึ้นได้มากกว่า 13% เมื่อวันจันทร์ มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $114.78 อย่างไรก็ตามตลอดทั้งปี 2020 หุ้นเจพีมอร์แกนยังถือว่าปรับตัวลดลงอยู่ 16%
ในความเห็นของเรา การซื้อหุ้นของบริษัทเจพีมอร์แกนในขณะนี้ถือเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะธนาคารเจพีมอร์แกนได้พิสูจน์มาโดยตลอดว่าพวกเขาเป็นองค์กรที่มีคุณภาพ มีงบการเงินที่ดี มีการกระจายความเสี่ยงและที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีเงินสดที่พร้อมนำมาหมุนเพื่อให้ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากไปได้
การรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปรากฎว่ากำไรของเจพีมอร์แกนเพิ่มขึ้น 4% และยังมีความสามารถที่จะรับหนี้เสียได้อีก $611 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ของไตรมาสที่สองซึ่งเจพีประเมินเอาไว้ที่ $10,470 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามกำไรจากการกู้ยืมในไตรมาสที่สองกลับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ด้วยความสามารถในการคืนเงินปันผล 3% จึงทำให้หุ้นของเจพีมอร์แกนเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนในระยะยาวหากว่าเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติและราคาพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้น ที่สำคัญ การที่ผลประกอบการของธนาคารกำลังฟื้นตัวกลับขึ้นมาน่าจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่เพิ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็เป็นได้
3. American Airlines
ไม่มีวงการไหนที่จะยินดีไปกับข่าววัคซีนได้มากกว่ากลุ่มธุรกิจการบินอีกแล้ว นี่คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตลอดทั้งปีไม่แพ้กันกับกลุ่มโรงแรมเลยและเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ตลอดทั้งปีนี้เรามักจะได้ยินแต่ข่าวสายการบินปิดตัว การปลดพนักงาน การลดเงินเดือนเพื่อให้บริษัทสามารถอยู่ต่อไปได้ และอีกมากมาย
หากวัคซีนของไฟเซอร์สามารถผลิตออกมาได้ภายในสิ้นปีนี้จริงๆ สถานการณ์ของโลกการบินจะเปลี่ยนไปทันที ผู้คนจะกล้ากลับมาจองตั๋ว กล้าขึ้นเครื่องบินเพื่อไปเที่ยวและทำธุรกิจอีกครั้ง ด้วยบรรยากาศความเชื่อมั่นนี้เอาที่ทำให้หุ้นของอเมริกันแอร์ไลน์ (NASDAQ:AAL) สามารถดีดตัวขึ้นมา 15% ได้ทันทีในวันจันทร์ ล่าสุดมีราคาซื้อขายหุ้นอยู่ที่ $12.04 และตลอดทั้งปี 2020 มาจนถึงปัจจุบันหุ้นของอเมริกันแอร์ไลน์ยังคงติดลบอยู่ 50%
อย่างไรก็ตามมีนักวิเคราะห์บางคนมองว่านักลงทุนยังไม่ควรดีใจกับการกลับมาของอุตสาหกรรมการบินมากเกินไปนักเพราะมีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจการบินอาจต้องเจอกับปัญหาความต้องการเดินทางด้วยเครื่องบินไม่มีการเติบโตไปอีกประมาณ 3-5 ปี ก่อนหน้านี้เราได้เห็นข่าวนักลงทุนชื่อดังอย่างวอรร์เรน บัฟเฟตต์และบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (NYSE:BRKa)ของเขาตัดสินใจเทหุ้นของบริษัทสายการบินใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ ทิ้งไปแล้วได้แก่เดลต้าแอร์ไลน์ (NYSE:DAL) อเมริกันแอร์ไลน์ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (NASDAQ:UAL) และเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ (NYSE:LUV)