นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา Bitcoin มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 200% Bitcoin จึงเป็นสินทรัพย์ที่มาแรงที่สุดในบรรดาสินทรัพย์ทั้งแบบดิจิทัลและแบบอื่นๆ ของปีนี้เลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2018 Bitcoin ได้รับความนิยมน้อยลงอย่างมากโดยมีมูลค่าแทบจะไม่ถึง $4,000 โดยไม่ค่อยมีผู้สนใจมองว่าเป็นสินทรัพย์เท่าใดนัก จนกระทั่งแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนของ Bitcoin เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะแพลตฟอร์มที่แยกตัวเป็นอิสระกับสถานะของสกุลเงินนี้
ปัจจุบัน Bitcoin มีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับเหนือ $11,000 โดยเงินสกุลนี้ได้พิสูจน์ตัวเองโดยการก้าวผ่านจุดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างมากมายในช่วงปีที่ผ่านมา และสามารถปรับตัวขึ้นไปได้เกินครึ่งของเป้าหมายซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดตลอดกาลไว้ที่ระดับ $20,000 ได้ภายในเวลาเพียง 3 เดือน
ตลาดในปัจจุบันเริ่มที่จะได้รับแรงกระตุ้นจากเงิน Libra ที่บริษัท Facebook (NASDAQ:FB) เพิ่งเปิดตัวและพยายามจะทำให้สกุลเงินคริปโตถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นสกุลเงินที่ถือว่าเป็นคู่แข่งของ Bitcoin ก็ตาม นายนาอีม อัสลัม หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดจาก ThinkMarkets คาดว่า Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุดเมื่อพิจารณาจากมูลค่าในตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นได้อยู่ในช่วง $60,000 ถึง $100,000 ได้ เนื่องจากนักลงทุนสถาบันเริ่มคลายความกังวลใจกับสกุลเงินคริปโตมากขึ้นและเชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษามูลค่าสินทรัพย์ที่มีไว้ได้ในช่วงเวลาที่มีความผันผวนทางด้านภูมิศาสตร์การเมือง
นายอัสลัมเคยพยากรณ์ไว้ว่าในวันที 17 มิถุนายน Bitcoin จะสามารถปรับตัวขึ้นไปได้ถึง $10,000 ซึ่งหลังจากวันที่พยากรณ์ไว้เพียง 5 วัน ราคาก็เป็นไปตามที่คาดไว้ นายปีเตอร์ แบรนดท์ นักลงทุนอาวุโสคนหนึ่งผู้เคยพยากรณ์ว่า Bitcoin จะชะลอตัวอย่างหนักก่อนหน้านี้มาแล้วนั้นก็เห็นด้วยว่า Bitcoin กำลังมุ่งหน้าไปสู่ ระดับ $100,000 ซึ่งปัจจุบัน Bitcoin มีการปรับตัวขึ้นแล้วประมาณ 4.2% โดยมีการซื้อขายกันอยู่ราว $11,377 และปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 7 แล้ว
ไม่ว่าข้อมูลพื้นฐานจะยืนยันว่า Bitcoin จะเติบโตต่อได้ดีหรือไม่ก็ตาม แต่ข้อมูลจากกราฟด้านล่างแสดงให้เห็นถึงความต้องการซื้อที่ผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวไปได้อย่างต่อเนื่อง ในระหว่างที่ราคายังไล่ไปตามเส้นแนวโน้มซึ่งยังอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเท่าใดนัก เราจะนำข้อมูลความเคลื่อนไหวของตลาดมาอัปเดตให้ทราบเป็นระยะๆ ยกเว้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อถือไว้ในระยะยาว การรักษาวินัยอย่างเข้มงวดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงมากเช่นนี้
ราคาได้ทำรูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้นเรียบร้อยแล้วแสดงถึงว่ามีความต้องการซื้อมารองรับความต้องการขายได้ทั้งหมด รวมทั้งผู้ซื้อก็ปรับราคาเสนอซื้อเพิ่มมากขึ้นเพื่อหาผู้ขายที่ต้องการขายในราคาที่สูงขึ้น ปฏิกิริยาของตลาดเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวผ่านระดับ Neck ไปได้เกิดจากปัจจัยหนุนที่ดี การปรับตัวให้สามารถทะลุกรอบไปได้นั้นอาจทำให้เกิดการปรากฎการณ์โดมิโนโดยการปิดสถานะ short แล้วเปลี่ยนไปเปิดสถานะ long เพื่อผลักดันให้ราคาสูงขึ้นได้อีกต่อไป
แต่อย่าง่ไรก็ตาม ราคาปัจจุบันยังคงปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ถึงราคาสูงสุดของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเคยอยู่ที่ระดับ $11,368 แต่ก็ยังถือว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถทะลุแนวต้านขึ้นไปได้ ในส่วนของเส้น RSI ก็แสดงสัญญาณว่าจะเกิดการกลับตัวสวนทางกับราคา เนื่องจากโมเมนตัมเริ่มอ่อนแรงลงในระหว่างที่กำลังจะทะลุขึ้นไปยังจุดสูงสุด ท้ายที่สุดแล้ว เส้น MA ระยะสั้นของ MACD ก็ได้พบกับแนวต้านในระดับที่ต่ำกว่าเส้น MA ระยะยาวแล้ว ซึ่งเป็นการชี้ว่ากำลังเกิดแรงกดดันอยู่
กลยุทธ์การซื้อขาย – สำหรับสถานะ Long
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ควรรอให้ราคาทะลุแนวต้านในระดับสูงสุดของรูปสามเหลี่ยมที่ระดับราคาสูงสุดของวันอาทิตย์ที่ $11,710 ไปอย่างน้อย 3% ก่อนเพื่อป้องกันสัญญาณหลอกขาขึ้น หลังจากนั้นควรรอให้เกิดการปรับตัวลงอีกเล็กน้อยเพื่อรอกำลังซื้อให้เพียงพอที่จะผลักราคาให้สูงขึ้นได้ต่อไป โดยสังเกตจากแท่งเทียนสีเขียวที่ยาวกว่าแท่งสีแดงหรือแท่งเล็กๆ สีใดก็ได้
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจตัดสินใจเข้าได้ทันทีเมื่อราคาเริ่มทะลุไปหา $11,600 อย่างน้อย 2% และอาจรอให้มีการกลับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ได้ราคาที่ดีขึ้นก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงแนวรับ
ตัวอย่างการซื้อขาย
-
ราคาเข้า: $11,400
-
Stop-Loss: $11,000
-
ความเสี่ยง: $400
-
เป้าหมาย: $12,600
-
ผลตอบแทน: $1,200
-
อัตราผลความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจลองเสี่ยงเปิดสถานะ short ได้ หากเชื่อว่าจะทำกำไรในช่วงการปรับตัวราคาได้
ตัวอย่างการซื้อขาย
-
ราคาเข้า: $11,400
-
Stop-Loss: $11,430, above yesterday’s high
-
ความเสี่ยง: $30
-
เป้าหมาย: $11,100
-
ผลตอบแทน: $300
-
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:10