Sprinklr CMO Arun ขายหุ้นมูลค่า 114,992 ดอลลาร์

นิวยอร์ก—Pattabhiraman Arun ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย Marketing ของ Sprinklr, Inc. (นิวยอร์ก:CXM) ได้เปิดเผยการขายหุ้นสามัญประเภท A ของบริษัทจํานวน 12,273 หุ้น ตามการยื่นต่อ SEC เมื่อเร็วๆ นี้ ธุรกรรมซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 16 และ 17 ธันวาคม มีมูลค่ารวม 114,992 ดอลลาร์ หุ้นถูกขายในราคาตั้งแต่ 9.32 ถึง 9.37 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากข้อมูลของ InvestingPro แม้ว่าการขายภายในนี้จะเกิดขึ้น แต่ฝ่ายบริหารก็ซื้อหุ้นคืนอย่างแข็งขัน และบริษัทยังคงรักษางบดุลที่แข็งแกร่งด้วยเงินสดมากกว่าหนี้

การขายเหล่านี้ดําเนินการเพื่อให้เป็นไปตามภาระผูกพันในการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิ์ของหน่วยหุ้นที่ถูกจํากัด ตามแผนจูงใจส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท หลังจากการทําธุรกรรมเหล่านี้ อรุณยังคงเป็นเจ้าของหุ้นของ Sprinklr จํานวน 434,071 หุ้น ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในปัจจุบันที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์และแสดงความสามารถในการทํากําไรในช่วงสิบสองเดือนที่ผ่านมา การวิเคราะห์ของ InvestingPro เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่สําคัญเพิ่มเติม 14 ประการเกี่ยวกับสุขภาพทางการเงินและแนวโน้มการเติบโตของ Sprinklr

ในข่าวล่าสุดอื่น ๆ Sprinklr Inc. เป็นหัวข้อของบทวิจารณ์ของนักวิเคราะห์หลายครั้งหลังจากผลประกอบการทางการเงินล่าสุด JPMorgan ปรับลดอันดับหุ้นของบริษัทจาก เพิ่มน้ำหนักการลงทุน เป็น Neutral โดยอ้างถึงความเสี่ยงในการดําเนินงานในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากบริษัทปรับตัวเข้ากับคําสั่งใหม่ ในขณะเดียวกัน KeyBanc Capital Markets ยังคงรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของ เพิ่มน้ำหนักการลงทุน โดยตระหนักถึงผลการดําเนินงานเชิงบวกของ Sprinklr และคําแนะนําที่ให้กําลังใจแม้ว่าจะคาดการณ์ว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบเป็นรายปี

ในทางกลับกัน Oppenheimer ยังคงรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของ Perform โดยระบุว่าเป็นผลมาจากคําแนะนํากําไรและขาดทุนที่เกินของบริษัทสําหรับไตรมาสที่สาม DA Davidson ได้เพิ่มราคาเป้าหมายสําหรับ Sprinklr ในขณะที่ถือหุ้นไว้ โดยยอมรับว่าบริษัทถือหุ้นไว้ที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้และการเติบโตของ cRPO ที่เพิ่มขึ้น สุดท้ายนี้ Citi ยังคงรักษาอันดับการคงสัดส่วนการลงทุนไว้ แม้ว่าจะระบุจุดอ่อนในการเรียกเก็บเงินของ Sprinklr ก็ตาม

การพัฒนาเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ Rory Read ซีอีโอคนใหม่ของ Sprinklr ดําเนินการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดําเนินงาน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แต่นักวิเคราะห์ก็แสดงความระมัดระวัง โดยแนะนําว่าการปรับเปลี่ยนอาจต้องใช้เวลาในการกระตุ้นวิถีการเติบโตของบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ ความพยายามของบริษัทในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตกับความสามารถในการทํากําไรยังคงได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดโดยนักวิเคราะห์ตลาด

บทความนี้ถูกแปลโดยใช้ความช่วยเหลือจากปัญญาประดิษฐ์(AI) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดอ่านข้อกำหนดการใช้งาน