โดย Detchana.K
Investing.com - จากการพิจารณาปริมาณเงิน M2 เทียบ Market Cap. ของ SET และ MAI พบว่าสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงปี 2555 ที่เป็นจุดเริ่มต้นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ ของ MAI โดยพบว่าดัชนี MAI ฟื้นตัวขึ้นมาเร็วเหลือลบเพียง -1% YTD เทียบกับ SET INDEX ที่ยัง -13% YTD แต่ด้วยแรงหนุนด้านสภาพคล่อง และปัจจัยพื้นฐานของ MAI ที่กลับมาแข็งแกร่ง ผนวกกับนโยบายการคลังที่จะเน้นกระตุ้นธุรกิจขนาดกลาง-เล็กมากกว่าขนาดใหญ่ ทำให้เราคาดว่า MAI INDEX ยังมีโอกาส Outperform SET INDEX โดยถ้าอิงปริมาณเงิน M2 ในปัจจุบันที่22.5 ล้านลบ. และค่าเฉลี่ยของ 10 ปีย้อนหลังของอัตราส่วน ปริมาณเงิน M2 ต่อ Market Cap. ของ MAI ที่ 90 เท่า ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า Market Cap. ของ MAI จะปรับตัวขึ้นได้อีก 15-20% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ติดตามรายละเอียดเรื่องนี้พร้อมประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนไทยวันนี้
1.MAI กลับมาคึกคัก และยังน่าสนใจกว่า SET
นักวิเคราะห์จาก บลจ.หยวนต้าเผย หุ้นใน MAI ปรับตัวขึ้นเด่นในปีนี้โดย YTD เหลือลบเพียง -1% เทียบกับ SET INDEX ที่ยังลบ ราว -13% YTD ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสภาพคล่องที่สูง และ Valuation ที่อยู่ในโซนต่ำ เมื่อเทียบกับอดีต แนวโน้มหลังจากนี้คาดว่า MAI ยังมีโอกาส Outperform ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า เพราะ Spread PBV และ Spread Dividend Yield หรือส่วนต่างในเชิง Valuation ระหว่าง MAI และ SET ยังสะท้อนว่า MAI อยู่ในโซนถูก
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยสภาพคล่อง โดยเทียบ Market Cap. กับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ คาดว่า MAI มีโอกาส ปรับตัวขึ้นได้อีก 15-20% ใน 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่่คุณภาพในการทำกำไรของ MAI ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่เนื่องจากหุ้นใน MAI มีสภาพคล่องในการซื้อขายที่ไม่สูง จึงแนะนำในเชิงกลยุทธ์ โดยให้น้ำหนักเพียง “เก็งกำไร” และคัดเลือกหุ้นจากแนวโน้มผลประกอบการที่โตต่อเนื่อง+ Valuation ยังไม่แพง โดยกำไร 1Q63 ต้องมากกว่า 25% ของกำไรทั้งปีที่ผ่านมา และแนวโน้ม 2Q63 ยังมีการเติบโต YoY รวมถึงได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ซึ่งได้แก่ STI, (BK:TACCm), (BK:ARROWm), AMA, (BK:JKNm), 2S, (BK:SELICm)
2. ฤดูประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง กดดันภาพรวม
ภาพรวมการรายงานผลประกอบการงวด Q63 ทั้งจากกลุ่ม ธนาคาพาณิชย์ที่ประกาศเสร็จสิ้นไป ลดลง 34% QoQ และลดลง 42% YoY บวกการทํา Earning Preview ของนักวิเคราะห์พื้นฐานไปแล้ว 44 บริษัท พบว่า กําไรสุทธิ งวด 2Q63 ในหุ้นอุตสาหกรรมหลัก (Real Sector) มีลดลงแรง และหลายบริษัทอาจจะพลิกมาเป็นขาดทุน แต่ยังได้แรงหนุนจากกําไรของหุ้นกลุ่มพลังงานที่ฟื้นตัว QoQ จากการพลิกกลับมาเป็น Stock Gain ช่วยชดเชยอยู่
บลจ.เอเชีย พลัส เผยภาพรวม กลุ่มธ.พ. กําไรกลุ่มงวด 2Q63 ต่ำกว่าคาดอยู่ที่ 2.96 หมื่นล้านบาท ลดลง 34% QoQ (42% YoY) ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่าน (BK:BBL)รายงานกำไรสุทธิ 2Q20 ที่ 3.09 พันล้านบาท ( -67 %YoY , -60 %QoQ) ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดที่ 7 พันล้านบาท
ภาพรวมฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส ยังคงให้น้ำหนักการลงทุน กลุ่มธ.พ. น้อยกว่าตลาด และมีการปรับลดประมาณกําไรปี 63 ของกลุ่มฯ ลง 1.1 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 1.27 แสนล้าน
บาท (ลดลง 36 %yoy) ถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงต่อการปรับประมาณการกำไรตลาดลงอีก
ส่วนกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แม้ผลการดําเนินงานไตรมาส 2 จะฟื้นตัวจากไตรมาส 1 โดยสาเหตุหลักมาจากการพลิกกลับมาเป็น Stock Gain จากทีไตรมาส ที่ต้องรับภาระ
Stock Loss กว่า หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามภาพผลการดําเนินงานปกติยังคงยําแย่รวมถึงทิศทางกําไรในไตรมาส 3 โดยปกติแล้วเป็น Low Season ของกลุ่มฯ หักล้างแรง
หนุนระยะสันจากหลายประเทศคลายล็อคดาวน์ ทําให้เริมมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม ฯกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น
โดยสรุป ช่วงสั้นฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส ให้น้ำหนักกลุ่มปิโตรเลียม “เท่าตลาดฯ” ส่วนกลุ่มฯโรงกลั่นและปิโตรเคมี “น้อยกว่าตลาดฯ” สะท้อนการขาดปัจจัยบวกขับเคลื่อน บวกกับราคาหุ้นในกลุ่ม ปัจจุบันที่ค่อนข้างเต็มมูลค่าพื้นฐานแล้ว ดังนั้นแนะเก็งกำไรช่วงสั้นเท่านั้น
3.ทองคำทุบสถิติใหม่ต่อเนื่อง แนะติดตามผลประชุมเฟดสัปดาห์หน้า
YLG BULLION เผยว่าราคาทองคําช่วงวันนี้ทะยานขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวาน และขึ้นทําระดับสูงสุดปีนี้ครั้งใหม่ที่บริเวณ 1,866.44 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดูอัพเดต XAU/USD การปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของราคาทองคํา เป็นผลมาจากการระบาดหนักของโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ผลักดันให้ธนาคารกลางทั่วโลกและรัฐบาลต่างๆ จําเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนือง
โดยในช่วงต้นสัปดาห์นี้ มีความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของสหรัฐ รวมถึงการเห็นชอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์ มูลค่า 7.5 แสนล้านยูโรของบรรดาผู้นําสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเม็ดเงินที่เข้าสู่ระบบนั้นอาจกระตุ้นเงินเฟ้อและนํามาสู่การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งส่งผลบวกต่อราคาทองคํา ขณะเดียวกัน ยังมีแรงซื้อเก็งกําไรในตลาดทองคํา ก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า วันที่ 28-29 ก.ค.
นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงเน้นย้ำในการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำและใช้นโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายต่อไป และนักลงทุนยังรอดูว่าเฟดจะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมหรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องหลังจาก นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐ-อังกฤษ หารือแผนเป็นพันธมิตร เพื่อต่อต้านจีนยิงกระตุ้นแรงซื้อทองคํา อย่างไรก็ดีราคาทองคําขึ้นมาค่อนข้างสูงแกว่งตัวสูงสุดในรอบเกือบ 9 ปี จึงแนะนําติดตามความเคลื่อนไหวของราคาทองคําอย่างใกล้ชิด และตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ