Investing.com - ความกังวลต่อสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อแรงกระตุ้นของตลาดในสัปดาห์นี้ หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเพิ่มเดิมพันในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ทำให้จีนออกมาประกาศว่าจะตอบโต้เอาคืน
ผู้ลทุนเตรียมรอข้อมูลทางการค้าจากจีนที่จะประกาศออกมาในวันพฤหัสบดีนี้เพื่อดูสัญญาณว่าจีนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือไม่ อีกทั้งผลการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ ภายหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดเมื่อสัปดาห์ก่อน รวมถึงการให้คำกล่าวของคณะเฟดเองในสัปดาห์นี้ก็เป็นที่น่าจับตาด้วย เพราะจะช่วยบ่งบอกให้ผู้ลงทุนทราบทิศทางของนโยบายทางการเงินในอนาคต
ห้าสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
- สงครามการค้าที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกต่างก็ปิดลบอย่างหนัก หลังจากทรัมป์ตัดสินใจกะทันหันว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐด้วยอัตราถึง 10% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการสงบศึกเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม และจีนก็ได้ออกมาให้คำมั่นแล้วว่าจะต้องมีการตอบโต้เอาคืนสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ผู้ลงทุนจะเฝ้าจับตาตัวเลขชี้วัดอัตราเงินเฟ้อและตัวเลขทางการค้าของจีนในสัปดาห์นี้เพื่อดูสภาพล่าสุดของเศรษฐกิจจีนด้วย
ดูเหมือนว่าตัวเลขทางการค้าจีนที่มีกำหนดการประกาศในวันพฤหัสบดีนี้จะมีทิศทางที่ดิ่งลงไปอีก คาดว่าตัวเลขการส่งออกประจำเดือนกรกฎาคมจะลดลง 2.2% เมื่อเทียบปีต่อปี และตัวเลขการนำเข้าจะลดลงถึง 7.6%
- ธนาคารกลางต่าง ๆ
ทั้งธนาคารกลาง นอร์เวย์, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, อินเดีย, ฟิลิปปินส์ และ ไทย ล้วนมีกำหนดการประชุมเพื่อพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยกันทั้งสิ้น โดยตลาดต่างก็พากันสังเกตการณ์ว่าธนาคารกลางอื่น ๆ จะดำเนินรอยตามการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบสิบปีของเฟดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือไม่
คาดว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 จุด จากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน 1.50% และตลาดทั่วโลกก็เชื่อว่าออสเตรเลียอาจลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ภายหลังจากที่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอย่างต่อเนื่องจนถึง 1% แล้ว
อินเดียก็ดูเหมือนว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกเป็นครั้งที่สี่ในปีนี้เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ทางด้านประเทศไทยยังน่ากังวลเพราะไม่มีทีท่าว่าจะออกมาจัดการค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเลย
ส่วนนอร์เวย์ก็ต้องรอดูว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนหรือไม่ เพราะธนาคารกลางนอร์เวย์มีทิศทางที่เอนเอียงไปทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาหลายเดือนแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็อาจเปลี่ยนการตัดสินใจเพราะช่วงนี้อาจยังไม่เหมาะที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องรอดูว่าธนาคารกลางจะสื่อสารทัศนะออกมาอย่างไรบ้าง
- สมาชิกเฟดให้คำกล่าว
ประธานเฟดประจำเซนต์หลุยส์ นายเจมส์ บุลลาร์ด มีกำหนดการให้คำกล่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตันในวันพรุ่งนี้ อีกทั้งประธานเฟดประจำชิคาโก นายชาร์ลส์ อีวานส์ ก็มีกำหนดการให้คำกล่าวในวันพุธด้วย
ปฏิทินเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ค่อนข้างเบาบาง แต่ข้อมูล ภาคกิจการบริการ ของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดการประกาศออกมาในวันนี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนได้ทราบว่าการชะลอตัวที่ส่งผลต่อธุรกิจภาคการผลิตได้ลุกลามมายังภาคกิจการบริการด้วยหรือไม่
- ข้อมูลทางเศรษฐกิจจากยุโรป
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่คึกคักสำหรับปฏิทินเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน โดยจะมีการรายงานดัชนี PMI ภาคกิจการบริการฝั่งยูโรโซนประจำเดือนกรกฎาคมในวันนี้ และตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีในวันพรุ่งนี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนทราบถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนในช่วงท้ายไตรมาสที่สอง
ในวันศุกร์นี้จะมีการรายงาน ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของสหราชอาณาจักรประจำไตรมาสที่สองซึ่งคาดว่าน่าจะออกมาชะลอตัว จากที่ก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่าอัตราการเติบโตเมื่อเทียบเดือนต่อเดือนจะอยู่ที่ 0.1% และ 1.4% เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมก็คาดว่าจะหดตัวลงเช่นเดียวกับตัวเลขภาคการผลิต
และวันนี้จะมีการรายงานดัชนี PMI ภาคกิจการบริการของสหราชอาณาจักรประจำเดือนกรกฎาคม โดยนักเศรษฐศาสตร์ได้คาดไว้ว่าตัวเลขจะออกมาเท่ากับ 50.4 สูงกว่าระดับสำคัญที่ 50 ซึ่งเป็นระดับแบ่งกั้นระหว่างการเติบโตและการหดตัว
- การประกาศผลประกอบการเริ่มเบาบาง
ฤดูกาลประกาศผลประกอบการเริ่มชะลอตัวลงในสัปดาห์นี้ โดยมีบริษัทต่าง ๆ ในดัชนี S&P 500 ราว 62 บริษัทที่มีกำหนดการรายงานผลประกอบการ
ผู้ลงทุนจะรอคอยการรายงานผลประกอบการจาก Walt Disney (NYSE:DIS), CBS (NYSE:CBS) และ Viacom (NASDAQ:VIA) ท่ามกลางกระแสการแข่งขันกันในแวดวงผู้ให้บริการสตรีมมิ่งกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix (NASDAQ:) ซึ่งผลประกอบการต่าง ๆ ที่ออกมาอาจจุดชนวนให้เกิดการผันผวนในกลุ่มหุ้นผู้ให้บริการทางการสื่อสารก็เป็นได้
--เนื้อหาข่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวรอยเตอร์