เงินยูโรอ่อนค่าลงเล็กน้อยแล้วปรับตัวขึ้นภายในสิ้นปี

เงินยูโรคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในเดือนนี้ แต่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นภายในสิ้นปีนี้ แนวโน้มนี้ยังคงมีอยู่แม้จะมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ตามที่แนะนําโดยการสํารวจความคิดเห็นล่าสุดของนักยุทธศาสตร์สกุลเงินของรอยเตอร์

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมากกว่า 1% หลังจากประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็วในวันที่ 9 มิถุนายน ต่อจากนั้น สกุลเงินแข็งค่าขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ว่าพรรค National Rally ของ Marine Le Pen จะเป็นผู้นําอย่างมากในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน แม้ว่าจะมีส่วนแบ่งคะแนนเสียงน้อยกว่าที่บางคนคาดการณ์ไว้

แม้จะมีการอ่อนค่าลงมากกว่า 2.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่นักยุทธศาสตร์เชื่อว่าเงินยูโรจะแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใหญ่เป็นอันดับสอง การคาดการณ์ค่ามัธยฐานสําหรับการลดลงของเงินยูโรในเดือนนี้คาดการณ์ไว้ที่ 1.06 ดอลลาร์ ซึ่งต่ํากว่าระดับการซื้อขายปัจจุบันประมาณ 1.5%

เมื่อมองไปข้างหน้า โพลสํารวจของ Reuters ซึ่งรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากนักยุทธศาสตร์การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกือบ 80 คน คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเป็น $1.09 ภายในสิ้นปีนี้ เพิ่มขึ้นเกือบ 1.5% และจะแตะ $1.10 ภายในกลางปี 2025 นี่เป็นการปรับลดลงจากการคาดการณ์ของเดือนมกราคม ซึ่งคาดการณ์ว่าเงินยูโรจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.12 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี

การแก้ไขดังกล่าวมีขึ้นเนื่องจากความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งทําให้ตลาดปรับความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์ ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ สองครั้งในปีนี้ แต่ก็มีโอกาสอย่างมากที่จะมีการปรับลดน้อยลง ซึ่งอาจกดดันค่าเงินยูโร

ค่าเงินดอลลาร์เองก็ทําผลงานได้ดีกว่า โดยแข็งค่าขึ้นมากกว่า 4% เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักตั้งแต่เดือนมกราคม ในทางตรงกันข้าม เงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงประมาณ 13% ในปีนี้ โดยแตะระดับต่ําสุดในรอบ 38 ปีที่ 161.97 ต่อดอลลาร์

นักวิเคราะห์เชื่อว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจังเพื่อสนับสนุนเงินเยน ซึ่งคาดว่าจะเป็นกําไรที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสกุลเงินหลักภายในสิ้นปีนี้ โดยเพิ่มขึ้น 6.5% เป็น 152

บทความนี้ถูกแปลโดยใช้ความช่วยเหลือจากปัญญาประดิษฐ์(AI) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดอ่านข้อกำหนดการใช้งาน