โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- บทสรุป 5 ข้อเกี่ยวกับภาวะการลงทุนฝั่งสหรัฐ-ยุโรปในวันอังคารที่ 21 กรกฎาคมมีดังต่อไปนี้
1. ข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ของยุโรป
ในที่สุดประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปก็สามารถสรุปข้อตกลงการจัดตั้งกองทุนเยียวยาเศรษฐกิจเป็นมูลค่า 7.5 แสนล้านยูโร (8.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
กองทุนนี้จะเป็นการกู้ยืมจากคลังสหภาพยุโรปโดยตรง และจำนวนเงินเกินครึ่งของกองทุนราว 3.9 แสนล้านยูโรจะเป็นการแจกจ่ายเงินสนับสนุนมากกว่าเงินกู้
พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นธนาคารทั่วภูมิภาคยุโรปทางตอนใต้ล้วนทำผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ค่าเงิน ยูโร กลับคงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่แตะระดับสูงสุดในรอบสี่เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
2. รีพับลิกันและเดโมแครตเตรียมหารือเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สภาสหรัฐจะนัดประชุมกันอีกครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่จะเป็นครั้งที่ห้านับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการระบาด
รายงานจากหลายสำนักระบุว่าทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างก็ยังมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างมาก ทว่าเนื่องจากทั้งสองพรรคต่างก็มีบทบาทในสภาของสหรัฐ ดังนั้นหมายความว่าสุดท้ายแล้วจะต้องมีการประนีประนอมจากทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เผยว่าเขาต้องการให้การลดภาษีรายได้บุคคลเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ นายสตีเวน มนูชิน กล่าวว่ามาตรการครั้งนี้จะมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐและจะมุ่งเน้นไปยัง "เยาวชน ตลาดแรงงาน และวัคซีน"
3. ตลาดหุ้นเตรียมปรับตัวขึ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐเตรียมเปิดตัวในแดนบวกอีกครั้ง ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ท่ามกลางความคาดหวังต่อการพัฒนาวัคซีนอย่างน้อยจากหนึ่งบริษัทที่จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปีนี้
เมื่อเวลา 6:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1030 GMT) สัญญาซื้อขายดัชนี Dow ล่วงหน้า ขยับขึ้น 177 จุดหรือ 0.7% สัญญาซื้อขายดัชนี S&P 500 ล่วงหน้า ขยับขึ้น 0.7% และ สัญญาซื้อขายดัชนี Nasdaq 100 ล่วงหน้า ดีดขึ้น 0.8%
หุ้นที่น่าจะได้รับการจับตาในวันนี้ได้แก่ Texas Instruments, Coca-Cola, Philip Morris และ Lockheed Martin ซึ่งจะออกมารายงานผลประกอบการ รวมทั้ง Snap ที่จะรายงานผลประกอบการหลังเวลาตลาดปิด
4. มูลค่าทรัพย์สินของนายเบโซสแตะ 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ผู้ก่อตั้ง Amazon (NASDAQ:AMZN) และซีอีโอ นายเจฟฟ์ เบโซส มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมถึง 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเมื่อวานนี้ภายหลังจากการประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยี ท่ามกลางสภาพทางเศรษฐกิจที่หดตัวลงอย่างหนักที่สุดนับตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
หุ้น Amazon ทะยานขึ้น 7.9% เมื่อวานนี้ ได้รับแรงหนุนจากนักวิเคราะห์หลายสำนัก อาทิ Goldman Sachs (NYSE:GS) และ Jefferies (NYSE:JEF) ทว่าบริษัทได้ระบุไว้ในอีเมลที่ส่งถึงซัพพลายเออร์ว่าจะเลื่อนการจัดวัน Prime day ประจำปีเนื่องจากการระบาด
หลังเวลาตลาดปิดเมื่อวานนี้หุ้น IBM (NYSE:IBM) ได้ปรับตัวขึ้นพร้อมกับกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี โดยราคาหุ้นทะยานขึ้นถึง 5% หลังเวลาการซื้อขายแม้บริษัทรายงานรายได้ประจำไตรมาสที่สองที่ลดลง 5.4% และกำไรต่อหุ้นที่ลดลง 50% แต่ถึงกระนั้นตัวเลขเหล่านี้ก็ออกมาดีกว่าผลคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
5. ราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุดในรอบสี่เดือน จับตาตัวเลขจาก API
ราคาน้ำมันดิบได้ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมภายหลังจากการสรุปข้อตกลง EU
เมื่อเวลา 6:30 น. สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบสหรัฐ บวกขึ้น 2.5% เท่ากับ $41.95 ต่อบาร์เรล จากก่อนหน้านี้ที่แตะระดับสูงสุดระหว่างวัน $42.02 ต่อบาร์เรล ส่วน สัญญาเบรนท์ ปรับตัวขึ้น 2.6% เท่ากับ $44.41 ต่อบาร์เรล
ในเวลา 16:30 น. สถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) จะรายงาน ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้จะออกมาลดลง 1.95 ล้านบาร์เรล จากสัปดาห์ที่แล้วที่สูงขึ้นถึง 7.5 ล้านบาร์เรล