Investing.com - สกุลเงินเอเชียเผชิญกับแรงกดดันในการถูกเทขายอย่างต่อเนื่องในวันอังคาร เนื่องจาก แรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ครอบงำอยู่ โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวได้ และจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐในการรักษาอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในระยะเวลาที่นานขึ้น ดัชนีดอลลาร์ มาถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 โดยอยู่ที่ 107.14 ซึ่งเป้าหมายถัดไปคือ 108.0 นำหน้าเส้น Fibonacci retracement 108.98 61.8%
โมเมนตัมแรงเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้งหลังจากกระแสตอบรับในปลายเดือนกันยายน โดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูล ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากสถาบันไอเอสเอ็ม (ISM) ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร อายุ 10 ปี อยู่ที่ 4.70% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 2007 ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนนี้ช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจของเงินดอลลาร์ และทำให้สกุลเงินเอเชียอ่อนตัวยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเงินหยวนของจีน
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารโลกออกคำเตือนเกี่ยวกับแนวโน้มที่ไม่ดีสำหรับเอเชีย โดยปรับลดการคาดการณ์ในปี 2024 ลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบครึ่งศตวรรษ (ไม่รวมช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา วิกฤตการเงินในเอเชีย และวิกฤตน้ำมันในทศวรรษ 1970)
การฟื้นตัวจากโรคระบาดของจีนนั้นน้อยกว่าที่คาดไว้ และวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังดำเนินอยู่ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นมากขึ้นส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ธนาคารกลางจีนดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกในการปกป้องเงินหยวน โดยจนถึงขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลจำกัด และการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอาจส่งผลให้เกิดการไหลออกมากขึ้น ธนาคารกลางกำลังเผชิญกับยอดค้าปลีกที่ลดลง หนี้ครัวเรือนที่สูง และอัตราการว่างงานของเยาวชนที่เกิน 20%
การชะลอตัวของอุปสงค์ทั่วโลกและจีนมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในเอเชียในทางลบ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินในภูมิภาคมากขึ้น แนวโน้มขาขึ้นสำหรับ USD/CNH ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.50 ภายในสิ้นปี 2023 อาจฉุดสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ ลง USD/SGD และ USD/MYR ลดลง 0.2% ต่อสกุลเงิน USD/IDR ลดลง 0.4 % USD/INR เพิ่มขึ้น 0.2% และ USD/KRW ลดลง 0.4%
ด้าน ค่าเงินบาท แตะระดับสูงสุดในรอบปี ที่ 37.125 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางตลาดหุ้นที่วุ่นวาย และ SET ปรับตัวลดลงต่ออีก 20 จุดในวันนี้