โดย วณิชชา สุมานัส
Investing.com –ตลาดหุ้นไทย (SET) เช้านี้ ปิดทำการเมื่อเวลา 12.30 น. บวก 2.17 จุด แตะ 1,539.80 จุด มูลค่าการซื้อขาย 39,704.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 567 หลักทรัพย์ ลดลง 956 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง 516 หลักทรัพย์
นอกจากนี้ แนวโน้มดัชนี SET 50 คาดดัชนีในวันนี้อ่อนตัวลงหลังจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID ในไทยพุ่งต่อเนื่องอีก แตะ17,669 ราย เสียชีวิต 165 ราย แสดงถึงภาครัฐอาจออกมาตรกรที่เข้มงวดขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่รีบาวด์เป็นตัวช่วยพยุงดัชนี ซึ่งดัชนีวันนี้ อ่อนตัวลงทดสอบ 905-912 จุด
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ ราคาทองคำดีดตัวขึ้นสวนทางเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า หลังเฟดตรึงดอกเบี้ยใกล้ 0% พร้อมเดินหน้าทำ QE ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน อีกทั้งถ้อยแถลงของ "พาวเวล" ยืนยันนโยบายทางการเงินและรอตลาดแรงงานสหรัฐแข็งแกร่งก่อนตัดสินใจ โดยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ ราคาทองคำรีบาวด์ทดสอบ 1,20-1,830$/Oz
ส่วนราคา ทองคำ Spot เช้านี้ปรับตัวขึ้นสู่บริเวณ 1,815 ดอลลาร์ หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย 10 เซนต์ สู่บริเวณ 1,799.7 ดอลลาร์ ก่อนที่จะทราบผลการประชุมคณะกรรมการ FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม และคงมาตราการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าตลาดแรงงานสหรัฐจะแข็งแกร่ง ราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 80 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,790 ดอลลาร์ฮ่องกง
นับจากสถานการณ์โควิดปลายมิถุนายน 2563 กลุ่มที่เคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดมากที่สุด 2 กลุ่ม คือ สื่อสารและกองรีทส์ ทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้มีการถือครองโดยนักลงทุนสถาบันและทั่วไปในระดับต่ำส่งผลให้ความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรต่ำ และเริ่มประเมินมีโอกาสเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยหุ้นที่น่าสนใจ เช่น ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน เช่น JAS, ALT หรือทยอยสะสมหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค เช่น RATCH, EASTW, WHAUP, TTW กลุ่มอาหารและเกษตร เช่น TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC หรือสามารถเก็งกำไรกลุ่มเดินเรือ เช่น PSL, TTA, RCL หรือกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ เช่น SMDm, Tm, WINMEDm, BIZm และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เช่น SCGP), BGC
วันนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อตลาดในวันนี้
1. หุ้นกลุ่มการเงินไม่ฟื้น
วันนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะประกาศตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2564 - 2565 ใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะขยายตัวลดลงจากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.3% (โดยมีประมาณการก่อนหน้าที่ 2.8%) จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย แต่ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวติดลบในปีนี้ เราคาดประมาณการ GDP ใหม่จะอยู่ที่ 0.5-1.0% อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ตัดความเสี่ยงที่การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตเป็น 0% หรือติดลบ หากมีการใช้มาตรการล็อคดาวน์ต่อเนื่องหรือเพิ่มความเข้มงวดในการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
2. สัญญาณล็อคดาวน์ยาว
เอกสารการคาดการณ์สถานการณ์ระบาด COVID-19 ของประเทศไทยระหว่างสิงหาคม - ธันวาคม 2564 ของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประเมินมีการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อสีเขียวและเหลือง ต่ำกว่าความจริงอยู่ 6 และ 3 เท่า ซึ่งข้อสรุปจากคาดการณ์ปัจจุบันจะเดินหน้าไปสู่การมีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันละ 35,000 ราย (ต้นเดือนตุลาคม 2564) และผู้เสียชีวิตเกือบ 500 ราย (ปลายเดือนตุลาคม 2564) ทำให้ประเมินได้ว่า จะมีการเสนอ ศบค. ต่ออายุมาตรการล็อคดาวน์ไปอีก 1-2 เดือน ขณะที่อาจเพิ่มความเข้มข้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพลดการระบาจาก 20% เป็น 25% เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตให้สูงสุดไม่เกิน 200 ราย/วัน ซึ่งมาตรการก็ส่งผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจในประเทศ ทิศทางการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยกดดันโดยเฉพาะต่อหุ้นกลุ่มการเงิน
3. ไร้สัญญาณปรับ QE
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ประธานเฟดยังคงยืนยันถึงการรอการฟื้นฟูของตลาดแรงงานก่อนพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะเดียวกันยังไม่ได้มีการตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ (QE) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ/เดือน ซึ่งท่าทีดังกล่าวถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดประเมิน