นักวิจารณ์มักชี้ให้เห็นว่าเครือข่ายของบิทคอยน์มีการใช้พลังงานต่อปีเท่ากับ 115 เทราวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของบางประเทศทั้งประเทศ และนักวิเคราะห์หลายคนเสนอว่าความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ ESG หรือการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบไปด้วย สิ่งแวดล้อม, สังคม, ธรรมาภิบาล จะเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ ไม่ยอมรับบิทคอยน์ หลังจากบริษัท Tesla (NASDAQ:TSLA) ประกาศยกเลิกการรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มันต้องเผชิญกับความยากลำบากที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับการเทขายครั้งใหญ่ ที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายของบิทคอยน์ร่วงลงกว่า 43% จากระดับสูงสุดเมื่อเดือนเมษายน การมาถึงของนักลงทุนสถาบันทำให้ราคาการซื้อขายบิทคอยน์พุ่งขึ้นระดับ ATH ที่ 65,000 ดอลลาร์ เมื่อเดือนเมษายน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บิทคอยน์สูญเสียโมเมนตัม และราคาการซื้อขายของมันไม่สามารถฟื้นขึ้นไปสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในระยะเวลาย้อนหลัง 200 วันได้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีกำลังจะแย่ลงไปอีก Iris Energy Pty บริษัทการขุดบิทคอยน์ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศออสเตอรเลีย ได้พูดคุยกับ Bloomberg เกี่ยวกับบิทคอยน์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Daniel Roberts เชื่อว่าบิทคอยน์จำเป็นต้องใช้พลังงานปริมาณสูงเพื่อความปลอดภัย และตลาดได้ตัดสินใจแล้วว่ามันคุ้มค่า “ผมไม่คิดว่าการตัดสินการใช้พลังงานของมันขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่ง แต่มันขึ้นอยู่กับตลาดที่ตัดสินใจแล้วว่าบิทคอยน์จะใช้พลังงานในระดับนั้น เพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยของตลาดและรักษาเงินของผู้คน” Roberts กล่าว ด้วยความสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของ Proof-of-Work ที่มากขึ้น ทำให้โซลูชันการขุดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่ในตำแหน่งที่ดี โดย Roberts ได้บอกกับ Bloomberg ว่าบริษัทการขุดเหมืองด้วยพลังงานหมุนเวียนของเขา ได้รับการติดต่อจากบริษัทจัดหากิจการพิเศษหรือ SPACs หลายแห่ง และได้รับการประเมินว่าบริษัทมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ถึง 500 ล้านดอลลาร์ “ข่าวล่าสุดในพื้นที่คริปโตและการให้ความสำคัญกับ ESG ยังคงเน้นย้ำว่าโมเดลธุรกิจของเราที่ดำเนินการมาหลายปีจะเป็นรูปแบบที่ใช่” Roberts กล่าว
กดอ่านข่าว Bitcoin จะอยู่ต่อไป แม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้พลังงาน ต่อที่ Siam Blockchain