โดย Barani Krishnan
Investing.com – ทองคำได้เคลื่อนไหวเข้าสู่กรอบราคา 1,600 ดอลลาร์ ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
ราคา สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ ตลาดโคเม็กซ์ของนิวยอร์กปิดตัวลงที่ 29.70 ดอลลาร์หรือ 0.6% ที่ 1,705.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันพฤหัสบดี หลังจากทะลุแนวรับ 1,700 ดอลลาร์ได้เพียงชั่วครู่ และแตะระดับต่ำสุดที่ 1,695.05 ดอลลาร์ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2020
“เราสามารถเห็นทองคำกลับมาเป็นที่นิยมเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่สำหรับตอนนี้นั้น…อาจจะมีความเจ็บปวดมากกว่านี้ในอนาคต” เครก เออร์แลม นักวิเคราะห์จากแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ OANDA กล่าว
ระดับราคาทองคำล่าสุดมาพร้อมกับช่วงเวลาที่ตลาดกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเลือกปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ โดยจะมีการตัดสินใจในวันที่ 27 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ เพื่อควบคุมแรงกดดันด้านราคาของสหรัฐฯ ที่ยังคงไม่สามารถควบคุมได้ หรือยังคงจัดลำดับความสำคัญของการเติบโตมาก่อนเงินเฟ้อ
เนื่องจาก ดัชนีราคาผู้บริโภค ที่เปิดเผยเมื่อวันพุธอยู่ที่ 9.1% สำหรับปีนี้จนถึงเดือนมิถุนายน เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบสี่ทศวรรษ การคาดการณ์การปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย จึงมีความผันผวน โดยน้ำเสียงในตลาดยังคงไม่นิ่ง ระหว่างการขึ้น 100 จุดในเดือนกรกฎาคมและ 75 จุดพื้นฐาน
หลังจากการเปิดเผยข้อมูล CPI รายงานที่ตามมาเป็นของ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี แสดงให้เห็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 11.3% ในช่วงปีถึงมิถุนายน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่มากที่สุดนับตั้งแต่การเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ 11.6% ในช่วง 12 เดือนถึงมีนาคม 2022
ราคาทองคำร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือนก่อนหน้านี้ของวันเมื่อ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งติดตามค่าเงินสหรัฐฯ เทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ อีก 6 สกุล พุ่งแตะระดับสูงสุดรอบสองทศวรรษใหม่เหนือ 109
ทองคำหลุดจากระดับต่ำสุดหลังจากคริส วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟดกล่าวว่าธนาคารกลางไม่สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกินจริงได้แม้จะมีแรงกดดันด้านราคาที่น่าเป็นกังวล วอลเลอร์กล่าวว่าเขาจะสนับสนุนการปรับขึ้นค่าพื้นฐาน 75 คะแนนในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 27 กรกฎาคมในการประชุมเฟดที่กำลังจะเกิดขึ้น มากกว่าการปรับขึ้น 100 จุดพื้นฐาน
คำพูดจากสมาชิกเฟดคนหนึ่งทำให้นักลงทุนสงบสติอารมณ์ลง เพราะตลาดมีความตึงเครียดตั้งแต่ข้อมูล CPI ที่เปิดเผยในวันพุธ เจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดแห่งเซนต์หลุยส์ หรือที่รู้จักกันในนามซูเปอร์ฮอว์กหรือผู้ที่นิยมนโยบายกร้าวร้าว ยังปลอบนักลงทุนด้วยการเลือกปรับขึ้น 75 จุดพื้นฐาน ในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 27 กรกฎาคมที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม ทั้งวอลเลอร์และบุลลาร์ดกล่าวว่าพวกเขาไม่ปิดกั้นการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหากข้อมูลบ่งชี้ว่าต้องทำอย่างนั้น
“สำหรับผม การปรับเพิ่มขึ้น 75 จุดพื้นฐานในการประชุมครั้งนี้ทำให้เราเป็นกลาง” วอลเลอร์กล่าว “อย่างไรก็ตาม หากข้อมูลที่เข้ามาในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้าแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์ยังคงแข็งแกร่ง แนวโน้มของผมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มากขึ้นก็มีเช่นกัน”
คำว่า “เป็นกลาง” คือเฟดกำลังพูดถึงการปรับอัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ 2% ต่อปี
บุลลาร์ดกล่าวว่าเป็นไปได้ที่กองทุนอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะ "สูงกว่า 4% ภายในสิ้นปีนี้หากข้อมูลยังคงเป็นไปในทางที่ไม่เอื้ออำนวย"
อัตราเงินเฟด ในปัจจุบันอยู่ที่ระดับสูง ที่ 1.75% เนื่องจากจะมีการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยอีกสี่ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งจะต้องมีการเพิ่มขึ้นอีก 2.25% เพื่อให้ได้ 4% โดยจะมีการปรับขึ้นจุดพื้นฐาน 100 จุดพื้นฐานในระหว่างแผนการปรับขึ้น
เฟดพยายามที่จะจัดการราคาที่สูงขึ้นโดยไม่ใช้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป แต่การดำเนินงานก็เป็นไปได้ยากเนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงสูง
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวว่าเฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ “ต่ำมากนานเกินไป” ซึ่งอาจผลักดันให้สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยในการต่อสู้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อในระยะเวลาสั้น ๆ
ธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระหว่าง 0 ถึง 0.25% เป็นเวลาสองปีในช่วงการระบาดใหญ่ และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ในเดือนมีนาคม
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP ) ของสหรัฐฯ ลดลง 1.6% ใน ไตรมาสแรก หากว่า GDP ติดลบอีกในไตรมาสที่สอง ในทางเทคนิคแล้วนี่คือการเข้าสู่ภาวะถดถอย