Investing.com - รอยเตอร์สเผยว่า Goldman Sachs Group Inc (NYSE:GS)ระบุว่า ทางธนาคารไม่ได้มองว่าจีนเป็นศูนย์กลางของการกำหนดราคาสินค้าโภคภัณฑ์อีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า การฟื้นตัวของอุปสงค์ในตลาดที่พัฒนาแล้วชี้ให้เห็นว่า ขณะนี้อุปสงค์จากฝั่งตะวันตกมีปริมาณหนาแน่นกว่าปักกิ่ง
"การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ได้เกี่ยวกับนักเก็งกำไรในจีนหรือการเติบโตของอุปสงค์ของจีน แต่เป็นเรื่องของความขาดแคลนและการฟื้นตัวของตลาดฯ" ทางธนาคารระบุในรายงานเมื่อวานนี้
ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงหลังจากคำเตือนของจีนเกี่ยวกับการเก็งกำไรในประเทศ "เส้นทางพื้นฐานของสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ เช่น น้ำมัน ทองแดง และถั่วเหลืองยังคงมุ่งเน้นไปที่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับการตอบสนองของอุปทานที่เพียงพอที่จะทำให้ภาวะตลาดกระทิงสิ้นสุดลง"
ตอนนี้ตลาดเริ่มสะท้อนถึงประเด็นดังกล่าวแล้ว เนื่องจากราคาทองแดงได้รับแรงหนุนมากขึ้นจากตัวเลขการผลิตของฝั่งตะวันตก แทนที่จะเป็นของจีน
"นี่คือการพลิกบทบาทจากตลาดกระทิงในช่วงตั้งแต่ปี 2000 โดยที่ขณะนี้จีนเป็นผู้บริโภคเช่นเดียวกับที่สหรัฐฯเคยเป็น ในช่วงที่อุปสงค์ในตลาดเกิดใหม่ของจีนมีสัดส่วนมากกว่าในสหรัฐฯ" Goldman ระบุ
จีนเป็นตลาดทองแดง ถ่านหิน และแร่เหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีของจีนกล่าวว่า ปักกิ่งจะทำการควบคุมราคาทองแดง ถ่านหิน เหล็กกล้าและแร่เหล็กที่พุ่งสูงขึ้นแบบ "ไม่สมเหตุสมผล"
ในปีนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งจีนเป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุดของโลก มีราคาสูงขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นหลังจากมาตรการป้องกันโควิดได้ผ่อนคลายลงและรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคไปทั่วโลก
Goldman ระบุว่า เหตุผลที่ทำให้อำนาจในการกำหนดราคาของสหรัฐเพิ่มขึ้น คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งประเทศจีนไม่มี โดยเสริมว่า จีนไม่ได้รับประโยชน์จากความได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานและตลาดโลกเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
"ท้ายที่สุด สิ่งนี้จึงทำให้ความสามารถในการกำหนดอัตรากำไรอ่อนแอลง ซึ่งการขาดแคลนที่ส่งผลให้อุปทานไม่เพียงพอและราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต่อไปนี้จีนจะกลายเป็นผู้บริโภคกลุ่มแรกที่ถูกกดราคา"