InfoQuest - สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) หลังมีรายงานว่าการใช้เชื้อเพลิงในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อนที่พายุเฮอร์ริเคนมิลตัน (Milton) จะเคลื่อนตัวผ่านรัฐฟลอริดา นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง และสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์พลังงานจะเพิ่มขึ้นในจีนและสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 2.61 ดอลลาร์ หรือ 3.56% ปิดที่ 75.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.82 ดอลลาร์ หรือ 3.68% ปิดที่ 79.4 ดอลลาร์/บาร์เรล
สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ของโลกเผชิญกับพายุเฮอริเคนมิลตันที่พัดผ่านรัฐฟลอริดา โดยรายงานระบุว่าสถานีบริการน้ำมันประมาณ 1 ใน 4 ได้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจนหมด และอิทธิพลของพายุเฮอร์ริเคนลูกนี้ยังส่งผลให้บ้านเรือนและธุรกิจต่าง ๆ มากกว่า 3.4 ล้านแห่งเผชิญปัญหาไฟฟ้าดับ
นักวิเคราะห์จาก Ritterbusch and Associates ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานกล่าวว่า ปัญหาไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างส่งผลให้สหรัฐฯ เผชิญกับการปิดคลังสินค้าจำนวนมาก รวมทั้งการขนส่งน้ำมันที่ล่าช้า และภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้นกับท่อส่งน้ำมัน ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันไปจนถึงสัปดาห์หน้า
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาน้ำมัน โดยรายงานล่าสุดระบุว่าคณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอลได้จัดประชุมเมื่อวานนี้เพื่อลงมติแผนการตอบโต้อิหร่าน หลังจากที่อิหร่านยิงขีปนาวุธ 200 ลูกโจมตีอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เกี่ยวกับแนวทางการตอบโต้อิหร่าน
อิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกรายใหญ่ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ถือเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อตลาดน้ำมันโลก โดยอิหร่านผลิตน้ำมันเกือบ 4 ล้านบาร์เรล/วัน และอุปทานน้ำมันทั่วโลกราว 4% อาจตกอยู่ในความเสี่ยงหากโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่านถูกอิสราเอลโจมตีเพื่อเป็นการตอบโต้
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยหนุนจากสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์ในจีนและสหรัฐฯ จะฟื้นตัว โดยรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการสนับสนุนการพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งเป็นการดำเนินการล่าสุดที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ส่วนทางด้านสหรัฐฯ นั้น นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ย. ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน