Investing.com-- ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในตลาดเอเชียวันนี้จากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง ทำให้ผู้ซื้อขายต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้มีความหวังว่าอุปสงค์จะปรับตัวดีขึ้น
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 2 สัปดาห์จากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี เนื่องจากการหยุดชะงักของอุปทานอันเนื่องมาจากพายุเฮอริเคนที่ชื่อฟรานซีนยังชี้ให้เห็นถึงตลาดที่ตึงตัวขึ้นอีกด้วย
น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ซึ่งจะหมดอายุในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 0.5% เป็น 74.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 0.4% เป็น 70.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเวลา 21:30 น. ET (01:30 GMT)
อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงหนุนราคาน้ำมันแต่ยังมีสัญญาณทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรุนแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและประกาศเริ่มใช้มาตรการผ่อนปรน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดความหวังว่าการลดอัตราดอกเบี้ยลงจะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการน้ำมันดิบให้เพิ่มขึ้น
สัปดาห์นี้จะมีข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่หลายคนโดยเฉพาะ ประธานเจอโรม พาวเวลล์ จะกล่าวสุนทรพจน์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นอกจากนี้ ในวันศุกร์นี้ ธนาคารกลางสหรัฐ จะเปิดเผยรายงาน (ดัชนีราคา PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ
นอกเหนือจากธนาคารกลางสหรัฐแล้ว (ธนาคารแห่งชาติสวิส และ ธนาคารกลางสวีเดน ก็จะมีการประชุมกันในสัปดาห์นี้ โดยทั้งสองธนาคารมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังมีผลต่อราคาน้ำมัน
เทรดเดอร์มองว่าราคาน้ำมันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสัญญาณที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
อิสราเอลยังคงโจมตีในฉนวนกาซาและเลบานอนอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงกังวลถึงสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาคนี้ ฮิซบุลเลาะห์ประกาศตอบโต้อิสราเอลเมื่อไม่นานนี้ หลังจากที่อิสราเอลจุดชนวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชิ้นที่กลุ่มเลบานอนใช้
การสู้รบและภัยคุกคามจากสงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความกังวลว่าความขัดแย้งที่ใหญ่ขึ้นในตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบต่ออุปทานในภูมิภาคที่อุดมด้วยน้ำมัน ส่งผลให้ตลาดโลกตึงตัว