Investing.com - ราคาน้ำมันในสองดัชนีหลักในตลาดเอเชียขึ้นและลงอย่างแคบๆเมื่อวันจันทร์ โดยตลาดมีแนวโน้มที่จะยอมรับการปรับสมดุลของอุปสงค์และอุปทานทั่วโลก แต่ความกังวลเกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบใหม่ๆจากผู้ผลิต เช่นลิเบีย, ไนจีเรียและสหรัฐฯ ทำให้มุมมองเหล่านั้นแย่ลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนกันยายนของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 0.02% มาที่ 48.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การซื้อขายน้ำมันเบรนท์สำหรับการส่งมอบเดือนตุลาคม ในตลาดล่วงหน้า ICE ณ กรุงลอนดอน ลดลง 0.04% มาอยู่ที่ 52.70 เหรียญต่อบาร์เรล สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ในกรุงลอนดอนได้รับผลกระทบจากสัญญาณล่าสุดที่ว่าอุปทานทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะตึง
โอเปกและผู้ผลิต 10 รายนอกกลุ่มประเทศ รวมทั้งรัสเซีย ตกลงกันตั้งแต่ต้นปีว่าจะลดปริมาณการผลิตจำนวน 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงเดือนมีนาคม2018 เพื่อลดปริมาณอุปทานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและช่วยปรับสมดุลของตลาด
สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในวันศุกร์ โดยราคากระโดดขึ้นประมาณ 3% ท่ามกลางการรายงานการปิดโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลประจำสัปดาห์ที่แสดงถึงการลดลงของจำนวนการใช้งานแท่นขุดเจาะน้ำมันในประเทศ
นักลงทุนต่างหันมาทำสัญญาน้ำมันดิบหลังจากมีรายงานว่าโรงกลั่นของบริษัท Exxon Mobil ในเมืองเบย์ตัน รัฐเท็กซัสได้ปิดตัวลง ซึ่งโรงกลั่นนี้สามารถผลิตน้ำมันได้ 584,000 บาร์เรลต่อวัน นับเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสหรัฐฯ
ในเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา บริษัท Baker Hughes ผู้ให้บริการบ่อน้ำมัน ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขประจำสัปดาห์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ปฏิบัติการในสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้วลดลง 5 เครื่อง ทำให้ตอนนี้มีแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ทำงานอยู่รวม 763 แท่น
เครื่องนับจำนวนแท่นขุดเจาะนับเป็นเครื่องมือชี้วัดที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการขุดเจาะน้ำมันและยังทำหน้าที่คล้ายเป็นตัวแทนสำหรับการผลิตและความต้องการบริการน้ำมัน
นอกเหนือจากอุปสงค์และอุปทานแล้ว นักลงทุนยังซื้อสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าท่ามกลางการปรับตัวขึ้นของตลาดโดยรวม อันเป็นผลมาจากการออกจากตำแหน่งที่ทำเนียบขาวของ นายสตีเวน แบนนอน
ในสัปดาห์ข้างหน้า นักลงทุนจะติดตามข้อมูลรายสัปดาห์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับคลังน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปของสหรัฐฯในวันอังคารและวันพุธเพื่อวัดความต้องการของผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก